เริ่มจาก การมอง เพราะสายตาสามารถบ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกได้ เช่น ความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความเคารพ หรือความเหยียดหยามดูหมิ่นดูแคลน ดังนั้น เวลามองผู้อื่นควรใช้สายตาที่แสดงถึงความสุภาพเรียบร้อย การเดิน ต้องใส่ความมั่นใจและสง่างาม คือเดินตัวตรง อกผายไหล่ผึ่ง ก้าวเท้ายาวพอประมาณและสอดคล้องกับเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่สวมใส่
การแต่งกาย ที่บ่งบอกถึงการเอาใจใส่ตัวเอง เพราะการแต่งกายจะทำให้ดูดีหรือดูแย่ได้ ดังนั้นควรเลือกเครื่องแต่งกายเหมาะสมกับกาลเทศะ สะอาดเรียบร้อย
การพูด การพูดต้องมีศิลปะ พูดเพื่อให้ชนะใจผู้ฟัง โดยคำพูดต้องสุภาพ มีเหตุผล น้ำเสียงไพเราะชวนฟัง และการใช้คำพูดควรเหมาะสมกับผู้ฟัง โดยคำนึงถึงวัย เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ และความสนใจพิเศษของผู้ฟัง
สุขภาพ คือ สุขภาพดี ไม่มีโรคภัย ร่างกายแข็งแรง เพราะคนป่วยออด ๆ แอด ๆ จะดูอ่อนแอ ไม่คล่องแคล่ว บางโรคส่งผลถึงความซีดเซียว ห่อเหี่ยวหม่นหมอง จนขาดสง่าราศรี ฉะนั้นการดูแลสุขภาพให้ดีคือต้นทุนของการพัฒนาบุคลิกภาพที่สำคัญ
วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554
บทความน่าอ่านสอนใจ “คนที่ล้มเหลว… คือคนที่ล้มเลิก”
ชายคนหนึ่งพึ่งจะพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น………..พึ่งจะอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น………..เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น…………เคยถูกอาจารย์ระบุว่าเป็นสมองช ้าไม่ชอบสังคม
และล่องลอยอยู่ในความฝันลมๆแล้งๆของตนเอง
ชายคนนั้นคือ “อัลเบิร์ต ไอสไตน์” บิดาแห่ง ปรมาณู
ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหาร
ชายคนนั้น…………สมัครเข้าเรียนใหม่เป็นครั้งที ่สอง
ชายคนนั้น…………ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น…………สมัครใหม่เป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น…………ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคนนั้น…………ได้เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาส ตร์ของสงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ
ชายคนนั้นคือ “นายพล ดักลาส แมกคาเธอร์ “ผู้พิชิตแปซิฟิกแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง
ชายคนหนึ่งชอบคอมพิวเตอร์มาก
ชายคนนั้น……..ถูกเพื่อนมองว่า บ้าคอมพิวเตอร์ – สกปรก
ชายคนนั้น……..เคยเสนอ software ให้บริษัท แอปเปิ้ล แต่ถูกปฎิเสธ
ชายคนนั้น……..ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยเหลือด้านทุนแก ่ แอปเปิ้ล
ชายคนนั้น……..เคยถูก IBM ดูถูกว่าแค่เด็ก
ชายคนนั้น……..ปัจจุบันเป็นผู้นำ software ที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้นคือ “ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตต์” ที่สาม หรือ ในนามที่เรารู้จักคือ “บิลเกตต์”
มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกที่มีทรัพย์สิน 46000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ชายคนนั้น………..พึ่งจะอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น………..เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น…………เคยถูกอาจารย์ระบุว่าเป็นสมองช ้าไม่ชอบสังคม
และล่องลอยอยู่ในความฝันลมๆแล้งๆของตนเอง
ชายคนนั้นคือ “อัลเบิร์ต ไอสไตน์” บิดาแห่ง ปรมาณู
ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหาร
ชายคนนั้น…………สมัครเข้าเรียนใหม่เป็นครั้งที ่สอง
ชายคนนั้น…………ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น…………สมัครใหม่เป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น…………ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคนนั้น…………ได้เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาส ตร์ของสงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ
ชายคนนั้นคือ “นายพล ดักลาส แมกคาเธอร์ “ผู้พิชิตแปซิฟิกแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง
ชายคนหนึ่งชอบคอมพิวเตอร์มาก
ชายคนนั้น……..ถูกเพื่อนมองว่า บ้าคอมพิวเตอร์ – สกปรก
ชายคนนั้น……..เคยเสนอ software ให้บริษัท แอปเปิ้ล แต่ถูกปฎิเสธ
ชายคนนั้น……..ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยเหลือด้านทุนแก ่ แอปเปิ้ล
ชายคนนั้น……..เคยถูก IBM ดูถูกว่าแค่เด็ก
ชายคนนั้น……..ปัจจุบันเป็นผู้นำ software ที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้นคือ “ วิลเลี่ยม เฮนรี่ เกตต์” ที่สาม หรือ ในนามที่เรารู้จักคือ “บิลเกตต์”
มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกที่มีทรัพย์สิน 46000 ล้านเหรียญสหรัฐ
เรื่องน่ารู้ วิธีปฏิบัติตัว เมื่อเริ่มคบกันใหม่ๆ
อย่าเพิ่งทำตัวเป็นเจ้าของ เพราะเรายังไม่แน่ใจว่า หนุ่มคนนั้นมีใจกับเราจริงรึเปล่า เพิ่งเริ่มค่ะ ใจเย็นๆ
อย่าโทรไปหาเค้าบ่อยๆ วางฟอร์มมั่งค่ะ ถ้าเค้าชอบเราจริง เค้าต้องติดต่อมาแน่นอนค่ะ
นิ่งๆไว้ค่ะ อย่าเพิ่งถาม อย่าเพิ่งสืบ ว่าเค้ามีเราคนเดียวจริงรึเปล่า เค้าแอบซ่อนใครไหม อย่าเพิ่งค่ะ ใจเย็นๆ เดี๋ยวเค้าจะกลัว หนีหายไปก่อนนะคะ
เมื่อเวลาแยกกัน อย่ามัวกังวล หาอะไรทำฆ่าเวลาค่ะ เช่น ดูหนัง ช้อปปิ้ง ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง
พยายามทำตัวให้มีค่า ให้เค้าคิดว่าเราเป็นผู้หญิงที่ดี ควรคู่กับเค้า
พยายามให้เค้าไว้วางใจเรา เช่น ไม่โกหก ทำอะไรไม่มีหลบๆซ่อนๆ
อย่าลืม ใจเขาใจเรา เราไม่ชอบอะไร เค้าไม่ชอบอะไร พยายามสื่อสาร บอก
อย่าโทรไปหาเค้าบ่อยๆ วางฟอร์มมั่งค่ะ ถ้าเค้าชอบเราจริง เค้าต้องติดต่อมาแน่นอนค่ะ
นิ่งๆไว้ค่ะ อย่าเพิ่งถาม อย่าเพิ่งสืบ ว่าเค้ามีเราคนเดียวจริงรึเปล่า เค้าแอบซ่อนใครไหม อย่าเพิ่งค่ะ ใจเย็นๆ เดี๋ยวเค้าจะกลัว หนีหายไปก่อนนะคะ
เมื่อเวลาแยกกัน อย่ามัวกังวล หาอะไรทำฆ่าเวลาค่ะ เช่น ดูหนัง ช้อปปิ้ง ไปเที่ยวกับเพื่อนบ้าง
พยายามทำตัวให้มีค่า ให้เค้าคิดว่าเราเป็นผู้หญิงที่ดี ควรคู่กับเค้า
พยายามให้เค้าไว้วางใจเรา เช่น ไม่โกหก ทำอะไรไม่มีหลบๆซ่อนๆ
อย่าลืม ใจเขาใจเรา เราไม่ชอบอะไร เค้าไม่ชอบอะไร พยายามสื่อสาร บอก
ความสุขในการได้รัก
ในขณะที่เราคิดถึงคน ๆ นึงตลอดเวลา
เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้
และบางครั้ง ก็อาจมีคนที่คิดถึงเรา โดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน
บางครั้ง การได้ฝันไปคนเดียว มันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า
สิ่งที่เราคิดทั้งหมด มันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว
ฉะนั้น ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจมกับความฝัน
มากกว่าการได้รับรู้ความจริง
การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้า ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า...
เราอาจเป็นที่ 2 ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4...
และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า...
ก็ขอให้คิดไว้ว่า ดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย
แต่โปรดจำไว้เถอะว่า
หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ
พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า...ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว
โปรดห้ามใจเถอะ ก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้...
ก็จงชอบต่อไปเถอะ
การรักใครซักคน ไม่ต้องการความพยายาม
"การตัดใจ"ต่างหาก ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย
ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่า ความสุขยามที่คุณได้สบตาเค้า
กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า
อันไหนมันหนักหนากว่ากัน
อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป...
อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้...
อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน แต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน
แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง
ที่อย่างน้อย ถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป
แต่ก็ยังได้พบ...
ยิ้มให้เค้า ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา
แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป...
ยิ้มให้กับโชคชะตา
ที่ยังทำให้เรา...ได้รู้จักกัน
คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง
คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้มของเค้าไว้คนเดียว
คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง...
คนที่ทำให้คุณหัวเราะ...และร้องไห้ได้มากมาย...
คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า
ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น...ให้กลายเป็นวันที่สดใส
เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ?
แค่การได้เห็นคนที่เรารัก
ได้หัวเราะอยู่กับใครสักคนที่เค้ารักมากที่สุด
...นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก...อย่างจริงใจ
เค้าคนนั้นก็อาจคิดถึงคนอื่นอยู่ก็เป็นได้
และบางครั้ง ก็อาจมีคนที่คิดถึงเรา โดยที่เราไม่สนใจเลยเช่นกัน
บางครั้ง การได้ฝันไปคนเดียว มันก็ดีกว่าการได้รู้ความจริงที่ว่า
สิ่งที่เราคิดทั้งหมด มันคือความฝันของเราเองเพียงคนเดียว
ฉะนั้น ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจมกับความฝัน
มากกว่าการได้รับรู้ความจริง
การไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจเค้า ไม่ใช่เรื่องน่าเศร้า...
เราอาจเป็นที่ 2 ซึ่งมันก็ยังดีกว่าเป็นที่ 3 ที่ 4...
และหากเราเป็นที่ 10 ในใจเค้า...
ก็ขอให้คิดไว้ว่า ดีกว่าเราไม่มีความสำคัญอะไรในใจเค้าเลย
แต่โปรดจำไว้เถอะว่า
หากหัวใจของคุณยังไม่ร้องไห้ออกมาดัง ๆ
พร้อมกับพูดกับตัวเองว่า...ชั้นเหนื่อยเหลือเกินแล้ว
โปรดห้ามใจเถอะ ก่อนที่ชั้นจะอ่อนล้าไปกว่านี้...
ก็จงชอบต่อไปเถอะ
การรักใครซักคน ไม่ต้องการความพยายาม
"การตัดใจ"ต่างหาก ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากมาย
ลองชั่งน้ำหนักในใจเราดูสิว่า ความสุขยามที่คุณได้สบตาเค้า
กับความทุกข์ยามที่คุณต้องคอยหลบตาเค้า
อันไหนมันหนักหนากว่ากัน
อย่าโทษตัวเอง ที่มาเจอเค้าสายเกินไป...
อย่าโทษเค้าที่ไม่มีใจให้...
อย่าโทษโชคชะตาที่ทำให้เราพบกัน แต่ไม่ได้ทำให้เราใจตรงกัน
แต่จงยิ้มให้กับตัวเอง
ที่อย่างน้อย ถึงจะพบกับเค้าคนนั้นสายเกินไป
แต่ก็ยังได้พบ...
ยิ้มให้เค้า ที่ถึงจะไม่ได้ให้ใจเรามา
แต่ก็ยังได้รับหัวใจของเราไป...
ยิ้มให้กับโชคชะตา
ที่ยังทำให้เรา...ได้รู้จักกัน
คุณควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ครั้งหนึ่ง
คุณได้เจอคนที่คุณอยากเก็บรอยยิ้มของเค้าไว้คนเดียว
คนที่คุณใส่ใจกว่าตัวคุณเอง...
คนที่ทำให้คุณหัวเราะ...และร้องไห้ได้มากมาย...
คนที่เพียงแค่ยิ้มของเค้า
ก็สามารถเปลี่ยนวันที่หมองหม่น...ให้กลายเป็นวันที่สดใส
เท่านี้มันก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่หรือ?
แค่การได้เห็นคนที่เรารัก
ได้หัวเราะอยู่กับใครสักคนที่เค้ารักมากที่สุด
...นั่นแหละคือความสุขของการได้รัก...อย่างจริงใจ
ข้อคิดในการใช้ขีวิต
- อย่าทำลายความหวังของใคร
- รู้จักฟังให้ดี
- จะคิดการใดจงคิดการให้ใหญ่ๆเข้าไว้แต่เติมความสุขสนุกสนานลงไปด้วย
- หัดทำสิ่งดี ๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัย
- เวลาเล่นเกมกับเด็ก ๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถิด
- ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
- ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ “สอง”แต่อย่าให้ถึง”สาม”
- ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไร ๆ มันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก
- เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
- เป็นคนถ่อมตน คนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
- อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าๆกับที่ หลุยส์ ปาสเตอร์ , ไมเคิลแอนเจลโล , แม่ชีเทเรซา, ลีโอนาร์โด ดาวินชี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรืออัลเบิร์ต ไอสไตน์ เขามีนั่นเอง
- เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยวเมื่อเหลียวกลับไปดูอดีตเราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำมากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
- ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น
- จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
- อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดี ๆ ใหม่ ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
- คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น
- ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานที่เขาทำนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
- มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ คุณทำอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า?
เทคนิคการจำ… ฝึกได้ง่ายๆ
- เทคนิคแรก โยงสิ่งที่ต้องจำไปหาสิ่งที่จำง่ายและติดตากว่า
- เทคนิคที่สอง ใส่ทำนองร้องเป็นเพลง ถ้า อยากจะจำอะไรสักอย่างหนึ่งยาว ๆ ลองใส่ทำนองเข้าไปแล้วลองร้องออกมา นอกจากจะสนุกสนานล้ว อาจจะจำได้ดีขึ้นด้วย แต่จะไพเราะเสนาะหูขนาดไหน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะตัว
- เทคนิคที่สาม วิธีจำโดยสังเกตตัวอักษรที่เหมือนกัน ใช้ ได้ผลดีกับวิชาภาษาไทย เช่น คำนวน ต้องเขียนว่า คำนวณ ใช้ “ณ” เหมือนคำว่า คณิตศาสตร์ หรือ เข้าฌาน สะกดด้วย “น” เพราะเป็นการนั่งแบบ “นิ่ง ๆ”
- เทคนิคที่สี่ ประโยคเด็ดช่วยจำ แต่ง ประโยคหรือเรียบเรียงเรื่องที่ต้องจำเป็นข้อความสั้น ๆ และถ้าสามารถ อาจแต่งให้คล้องจองกัน จะช่วยให้จำได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น ประโยคยอดฮิตที่ว่า “ไก่ จิก เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง” ทำให้พวกเราจำอักษรกลางได้อย่างง่ายดาย
- เทคนิคที่ห้า จำเป็นรูปภาพ สมอง คนเราจำรูปได้ดีกว่าข้อความ ดังนั้นพวกสูตรคณิตศาสตร์ต่าง ๆ ลองเขียนเป็นตัวใหญ่ ๆ ทำให้โดดเด่นมีสีสัน แปะไว้ข้างฝาบ้าน มองทุกวัน หลาย ๆวัน เราจะจำภาพหรือสูตรนั้นได้โดยอัตโนมัติ ที่สำคัญอย่าลืมมองเจ้าสิ่งที่แปะบ่อย ๆ ด้วย
ฟุตบอลโลก

รูปแบบการแข่งขันในปัจจุบัน การแข่งขันประกอบด้วย 32 ทีม เพื่อเข้าร่วมแข่งขันในสถานที่จัดงานของประเทศเจ้าภาพ ซึ่งจะจัดขึ้นประมาณ 1 เดือน การแข่งขัน 32 ทีมสุดท้ายนี้เรียกว่า การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ส่วนในรอบคัดเลือกที่แข่งขันก่อนหน้านั้น จะในปัจจุบันต้องใช้เวลาร่วม 3 ปี เพื่อตัดสินว่าทีมใดที่จะร่วมเข้าแข่งกับทีมประเทศเจ้าภาพ
ในการแข่งขันฟุตบอลโลก 19 ครั้ง มีชาติที่ชนะในการแข่งขัน 8 ชาติ ทีมชาติบราซิลชนะ 5 ครั้ง และเป็นทีมเดียวที่เข้าร่วมการแข่งขันในทุกครั้ง ส่วนทีมชาติอื่นที่ชนะการแข่งขันคือ ทีมชาติอิตาลี ชนะ 4 ครั้ง, ทีมชาติเยอรมนี ชนะ 3 ครั้ง, ทีมชาติอาร์เจนตินาและทีมชาติอุรุกวัย ชนะ 2 ครั้ง และ ทีมชาติอังกฤษ ทีมชาติฝรั่งเศส และทีมชาติสเปน ชนะ 1 ครั้ง
การแข่งขันฟุตบอลโลกถือเป็นการแข่งขันกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก มีผู้ชมราว 715.1 ล้านคนในการแข่งขันนัดตัดสินการแข่งขันฟุตบอลโลก 2006 ที่จัดขึ้นที่ประเทศเยอรมนี
ผู้ชนะเลิศฟุตบอลโลก
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554
ความรักที่ไม่ควรทำ
ความรักที่ไม่ควรทำ
ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ไม่ว่าจะเพศไหน วัยใด ใคร ๆ ก็อยากมีความรักกันทั้งนั้น แต่บางครั้ง "รัก" ที่ใคร ๆ มองว่าเป็นสีชมพูสดใส ก็กลายเป็นสีเทาอึมครึม แถมยังทิ่งแทงใจให้เจ็บปวดได้อีกต่างหาก เอ้า...แล้วแบบนี้ตกลงว่า "ความรัก" ยังน่าหลงใหลลิ้มลองอยู่หรือเปล่า อะ ๆ ไม่ต้องคิดเยอะซะขนาดนั้นค่ะ ความรักยังคงงดงามเสมอ หากคุณสาว ๆ ไม่ทำตัวน่ายี้ซะก่อน...ดังนี้



ท้ายที่สุดแล้ว...ไม่มีใครเกิดมาแล้วมีรักอย่างที่ตัวเองคิดไว้ทุกคน เพียงแต่ฉลาดรักให้เป็นก็พอ ^^
เปรียบเทียบ บราวเซอร์ชนิดต่างๆ

ตอนนี้ต้องยอมรับเลยว่า บราวเซอร์ซึ่งคนใช้มากที่สุดในโลก รวมทั้งในประเทศไทย สามอันดับแรกคงไม่พัน IE Firefox และ Chrome
วันนี้ผมเลยจะมาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียของอินเตอร์เน็ตบราวเซอร์ชนิดต่างๆให้อ่านกันนะครับ
Internet Explorerข้อดี
เป็นบราวเซอร์ที่คนใข้งานมากที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นแน่ใจได้เลยว่าได้รับการรองรับจากทุกเว็บไซต์
เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น สามารถหาทางแก้ไขได้ง่าย เนื่องจากมีคนใช้จำนวนมาก มีคนถามปัญหาก่อนเราแล้ว
ให้ความเป็นส่วนตัวสูงสุดเนื่องจาก ไม่เก็บข้อมูลผู้ใช้เลย
ปลอดภัย
ข้อเสีย
ช้าที่สุด เมื่อเทียบกับบราวเซอร์อีกสองตัวที่เหลือ
ใช้หน่วยความจำคอมพิวเตอร์มากที่สุด ซึ่งอาจทำให้เครื่องช้าไปด้วย
Firefoxข้อดี
เร็วที่สุด
เต็มไปด้วยอุปกรณ์เสริมหรือ add-ons
ข้อเสีย
google สนับสนุนน้อยลงเนื่องจาก หันไปช่วย chrome ของตัวเอง
ผู้ใช้ทั่วโลกยังน้อยถ้าเทียบกับ IE
บางเว็บไซต์ที่ทำด้วย IE อาจแสดงผลไม่สวยกับ Firefox
Chromeข้อดี
พื้นที่หน้าจอใหญ่ที่สุด และใช้เนื้อที่คุ้มค่าที่สุด
เร็วกว่า IE
มีแถบสำหรับการเสิชที่รวดเร็ว
ข้อเสีย
ไม่มีความเป็นส่วนตัว เนื่องจาก chrome บันทึกข้อมูลผู้ใช้ตลอดเวลา
เนื่องจากเป็นบราวเซอร์หน้าใหม่ ความปลอดภัยจึงอาจไม่ดีพอ
บางเว็บไซต์ยังไม่สามารถใช้ได้กับ chrome
ยังไม่มีอุปกรณ์เสริม (extensions, add-ons)
หวังว่าผู้อ่านคงได้ความรู้กับ บทความดีๆ บทนี้ไม่มากก็น้อยนะครับ
การศึกษาเว็บบล็อก
blog คืออะไร ?
บล็อก (blog) เป็นคำรวมมาจากคำว่า เว็บล็อก (weblog) เป็นรูปแบบเว็บไซต์ประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกเขียนขึ้นในลำดับที่เรียงตามเวลาในการเขียน ซึ่งจะแสดงข้อมูลที่เขียนล่าสุดไว้แรกสุด บล็อกโดยปกติจะประกอบด้วย ข้อความ ภาพ ลิงก์ ซึ่งบางครั้งจะรวมสื่อต่างๆ ไม่ว่า เพลง หรือวิดีโอในหลายรูปแบบได้ จุดที่แตกต่างของบล็อกกับเว็บไซต์โดยปกติคือ บล็อกจะเปิดให้ผู้เข้ามาอ่านข้อมูล สามารถแสดงความคิดเห็นต่อท้ายข้อความที่เจ้าของบล็อกเป็นคนเขียน ซึ่งทำให้ผู้เขียนสามารถได้ผลตอบกลับโดยทันที คำว่า "บล็อก" ยังใช้เป็นคำกริยาได้ซึ่งหมายถึง การเขียนบล็อก และนอกจากนี้ผู้ที่เขียนบล็อกเป็นอาชีพก็จะถูกเรียกว่า "บล็อกเกอร์"
ความหมายของคำว่า Blog ก็คือการบันทึกบทความของตนเอง ( Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ Blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่าง ๆ เช่น เรื่องการเมือง เรื่องกล้องถ่ายรูป เรื่องกีฬา เรื่องธุรกิจ เป็นต้น โดยจุดเด่นที่ทำให้บล็อกเป็นที่นิยมก็คือ ผู้เขียนบล็อก จะมีการแสดงความคิดเห็นของตนเอง ใส่ลงไปในบทความนั้น ๆ โดยบล็อกบางแห่ง จะมีอิทธิพลในการโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านสูงมาก แต่ในขณะเดียวกัน บางบล็อกก็จะเขียนขึ้นมาเพื่อให้อ่านกันในกลุ่มเฉพาะ เช่นกลุ่มเพื่อน ๆ หรือครอบครัวตนเอง
มีหลายครั้งที่เกิดความเข้าใจกันผิดว่า Blog เป็นได้แค่ไดอารี่ออนไลน์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไดอารี่ออนไลน์เปรียบเสมือน เนื้อหาประเภทหนึ่งของบล็อกเท่านั้น เพราะบล็อกมีเนื้อหาที่หลากหลายประเภท ตั้งแต่การบันทึกเรื่องส่วนตัวอย่างเช่นไดอารี่ หรือการบันทึกบทความที่ผู้เขียนบล็อกสนใจในด้านอื่นด้วย ที่เห็นชัดเจนคือ เนื้อหาบล็อกประเภท วิจารณ์การเมือง หรือการรีวิวผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ตัวเองเคยใช้ หรือซื้อมานั่นเอง อีกทั้งยังสามารถแตกแขนงไปในเนื้อหาในประเภทต่าง ๆ อีกมากมาย ตามแต่ความถนัดของเจ้าของบล็อก ซึ่งมักจะเขียนบทความเรื่องที่ตนเองถนัด หรือสนใจเป็นต้น จุดเด่นที่สุดของ Blog ก็คือ มันสามารถเป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถสื่อถึงความเป็นกันเองระหว่างผู้เขียนบล็อก และผู้อ่านบล็อกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่ชัดเจนของบล็อกนั้น ๆ ผ่านทางระบบ comment ของบล็อกนั่นเอง สรุปให้ง่าย ๆ สั้น ๆ ก็คือBlog คือเว็บไซต์ที่มีรูปแบบเนื้อหาเป็นเหมือนบันทึกส่วนตัวออนไลน์ แต่มีส่วนของการ comments และก็จะมี linkวิธีการสร้างบล็อก
เทคนิคการเขียน Blog
กฏง่ายๆ ที่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้มุ่งหวัง คือ
1. เขียนหัวข้อ Headline ให้ชัดเจน และให้ใส่ คีย์เวิร์ด (Key Word) ด้วยในหัวข้อเรื่อง เน้นตัวใหญ่ ตัวหนาด้วย ซึ่งมีผลในการดึงดูดเสิร์ซเอ็นจิ้นให้ขึ้นตำแหน่งดีๆ
2. บอกวัตถุประสงค์ และสิ่งที่ผู้อ่านจะได้รับในย่อหน้าแรกๆ ถ้านึกไม่ออกว่าจะเขียนแบบไหนดี ลองใช้หัวข้อหลัก ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร และผู้อ่านจะได้รับอะไรจากข้อความ บทความของเรา
3. เขียนด้วยภาษาที่เขียนง่าย เป็นตัวของตัวเอง กระชับ
4. ใช้คำคีย์เวิร์ดบ่อยๆ แต่อย่าซ้ำจนเกินพอดี ผูกเป็นเรื่องราวในบทความ
ประโยชน์ของ Blog
บล็อกมีประโยชน์อะไรบ้าง จะว่าไปแล้วประโยชน์ของบล็อกก็มีอยู่มากมายขึ้นอยู่กับว่า เราต้องการอะไรจากบล็อก โดยประโยชน์ของบล็อก สรุปได้ดังนี้
1.ให้ข่าวสารข้อมูล เว็บไซต์ของเราเอง เราสามารถที่จะทำตัวเป็น Guru หรือผู้รู้ด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษได้ ทั้งเรื่องของกีฬา แฟชั่น ดนตรี ภาพยนต์ หรือเรื่องอะไรก็ได้ไม่เว้นแม้แต่เรื่องเหตุบ้านการเมือง แต่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ เมื่อเราเป็นฝ่ายให้ข้อมูลไป ก็ต้องระวังเรื่องเสียงตอบรับกลับมาด้วยเช่นกัน ให้ความคิดเห็นและใช้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องที่สนใจเหมือนกัน เว็บบล็อกจะมีระบบคอมเมนต์บล็อกที่เราเขียนไว้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อกของเราได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่เขียนไว้ในบล็อก
2.พบเจอเพื่อนใหม่ๆ การมีสังคมบนโลกออนไลน์ง่ายขึ้นเป็นกองด้วยการมีบล็อก เพราะเรื่องราวในบล็อกของเราจะเป็นสื่อที่ทำให้คนอื่นทั่วไปในอินเทอร์เน็ตรู้จักเรามากขึ้น การโพสต์รูปหรือข้อความหาเพื่อนบนอินเทอร์เน้ตดูเหมือนจะเชยไปแล้ว บล็อกให้อะไรที่มากกว่าการโพสต์รูปและข้อความหลายเท่านัก ซึ่งการคอมเมนต์บล็อกช่วยให้ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกด้วย
3.ค้าขายสินค้าในเว็บบล็อก บล็อกนั้นก็เป็นเหมือนเว็บไซต์ส่วนตัวของเรา จึงมีหลายคนใช้เว็บบล็อกเป็นแหล่งให้ข้อมูลและใช้โพสต์รูปขายสินค้าไปด้วยเลย แต่ควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีด้วยว่าบล็อกที่คุณสมัครอนุญาตให้ขายสินค้าหรือไม่
4.สร้างง่ายไม่เสียเงิน เราไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆ ที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์ ไม่ต้องซื้อหนังสือเกี่ยวกับการสร้างเว็บไซต์เล่มโต ซึ่งช่วยลดเวลาที่ใช้ในการสร้างเว็บไซต์ส่วนตัวของเราได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังไม่มีค่าใช้จ่ายในการเช้าพื้นที่บนอินเทอร์เน็ตอีกด้วย และอื่นๆ อีกมากมาย
วิธีดามหัวใจเวลาอกหัก
ให้พิการทางกาย ยังดีกว่าพิการทางใจหลายร้อยเท่า
แต่...แต่อย่าเพิ่งเข้าขั้นโคม่าขนาดนั้นเลยท่าน โอ้ย... อกหักครั้งสองครั้งน่ะจิ๊บจ๊อย เพราะในอนาคตคุณยังต้องเผชิญกับรักร้าวและรักลวงอีกเยอะ แค่นี้ปวดแสบปวดร้อน ยังน้อยไป ทว่าหัวใจยังทำด้วยเนื้อ ต่อให้เอาเหล็กมาหุ้มไว้ ถ้าเพิ่งแยกทางกับคนที่เคยรัก จะไม่ให้รู้สึกอะไรเลย คงตลกสิ้นดี
งั้นถ้าหากอยากฟื้นจากพิษรัก ก็มีบันไดให้เดินตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. จำไว้ว่า เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง เป็นไปได้ว่า ตอนที่คุณถูกคนรักทิ้งขว้าง แน่ล่ะมันย่อมเป็นช่วงที่คุณรู้สึกเสียศูนย์มากที่สุดในชีวิต เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจและคิดเตลิดเปิดเปิงว่า อุตส่าห์รักขนาดนี้ยังทิ้งเราได้ลงคอ แต่ขอให้คิดไกลไปอีกนิดด้วยว่า ทุกวันนี้คุณก็ยังเป็นคนเดิม คนที่ครั้งหนึ่งเป็นที่รักของใครบางคน ไม่ได้เปลี่ยนไปในทางเลวร้ายแต่อย่างใดหรอก
2. ตอนที่คุณตกอยู่ในห้วงแห่งรักไม่สมหวังอย่างนี้รู้ไหมว่า คุณกำลังอ่อนแอทั้งร่างกาย และจิตใจ สภาพโทรมจัดแบบนี้ มีสิทธิ์ถูกคนอื่นกลั่นแกล้ง ได้ง่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าช้ำในนานนัก หมั่นดื่มน้ำ ใบบัวบกหรือน้ำเก๊กฮวยให้มันหายเก๊กซิมซะเร็วๆ
3. หากฟังคำพูดตัดสวาทของอีกฝ่ายแล้วยังไม่แน่ใจว่า เขาหรือเธอพูดจริงหรือพูดเล่น สอบถามอีกทีก็ได้นี่ว่า เราหมดเยื่อไม่เหลือใยกันจริงหรือ? ถ้ายังได้รับการยืนยันว่า ใช่ เค้าเรียกว่า ยังสะเออะไปถามให้ตัวเองหน้าแหกอีกทำไมก็ไม่รู้ สู้เอาเวลาไปตั้งหน้าตั้งตาจีบคนใหม่ดีกว่า การผิดหวัง อาจชักพาให้คุณสมหวังกับคนที่เหมาะสมยิ่งกว่าคนเก่าก็ได้ สักวันอาจเจอ "รักแท้" ที่จริงใจกว่าเดิม มีรักเหนียวแน่นกว่าครั้งนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้
4. ช้ำรักมักทำให้คุณขมขื่นก็จริง แต่ อย่าไปแสดงออกให้คนในอดีตของคุณรู้เข้าล่ะ เพราะไม่งั้น เขาจะหาว่า คุณขาดวุฒิภาวะ ยังไม่ เป็นผู้ใหญ่พอ ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หากยังควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วจะไปควบคุมอะไรไหวล่ะเนี่ย
5. ขอเวลานอก หลบไปพักผ่อน หรือยุติเรื่องหนักๆ ไว้ชั่วคราว สิ่งที่คุณเพิ่งเจอมานั้น สร้างความบอบช้ำมากพออยู่แล้ว ถ้าจิตใจยังไม่ปกติ ก็อย่าแสร้งทำเป็นว่า ตัวเองไม่เป็นอะไร การถูกคนรักตัดพ้อต่อว่า, ถูกสลัดรัก หรือถูกทิ้งทุกคน (ที่มีแฟน) ล้วนมีประสบการณ์ทำนองนี้ มาแล้วทั้งนั้น และอาจเผลอไปทำกับคนอื่นเอาไว้ แบบนี้เหมือนกัน ใช่ว่าจะถูกเขาทำฝ่ายเดียวซะที่ไหนล่ะ แต่หากหนีไปจากเรื่องวุ่นๆ ซ้ำซากจำเจได้ชั่วคราว ขอให้รีบทำ ขืนอยู่ที่เดิมๆ คงไม่แคล้วเห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด
6. ถ้าไม่กลายเป็นคนซึมกะทือ หรือมัมมี่เดินได้แล้วไซร้ การไปสังสรรค์ออกสังคม พบปะผู้คนบ้าง อาจช่วยให้ลืมเรื่องเก่าๆได้ แม้จะลืมได้ไม่ถาวร แต่ลืมได้ชั่วคราวก็ยังดี เดี๋ยวอีกหน่อยก็จะลืมตลอดกาลไปเองนั่นแหละ ทีเรื่องอื่น ทำไมถึงขี้ลืมกันเหลือเกิน ตรงข้ามกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไยลืมไม่ลง ก็บ่ฮู้ สุดท้าย แทนที่คุณจะเกลียดอดีตหวานใจ เปลี่ยนเป็นจากกันด้วยดีและยังมี ความปรารถนาดีต่อกันซะเถิด อย่างน้อย เราคงเหลือความทรงจำดีๆต่อกันอยู่บ้าง
แต่...แต่อย่าเพิ่งเข้าขั้นโคม่าขนาดนั้นเลยท่าน โอ้ย... อกหักครั้งสองครั้งน่ะจิ๊บจ๊อย เพราะในอนาคตคุณยังต้องเผชิญกับรักร้าวและรักลวงอีกเยอะ แค่นี้ปวดแสบปวดร้อน ยังน้อยไป ทว่าหัวใจยังทำด้วยเนื้อ ต่อให้เอาเหล็กมาหุ้มไว้ ถ้าเพิ่งแยกทางกับคนที่เคยรัก จะไม่ให้รู้สึกอะไรเลย คงตลกสิ้นดี
งั้นถ้าหากอยากฟื้นจากพิษรัก ก็มีบันไดให้เดินตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. จำไว้ว่า เวลาจะช่วยเยียวยาทุกสิ่ง เป็นไปได้ว่า ตอนที่คุณถูกคนรักทิ้งขว้าง แน่ล่ะมันย่อมเป็นช่วงที่คุณรู้สึกเสียศูนย์มากที่สุดในชีวิต เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจและคิดเตลิดเปิดเปิงว่า อุตส่าห์รักขนาดนี้ยังทิ้งเราได้ลงคอ แต่ขอให้คิดไกลไปอีกนิดด้วยว่า ทุกวันนี้คุณก็ยังเป็นคนเดิม คนที่ครั้งหนึ่งเป็นที่รักของใครบางคน ไม่ได้เปลี่ยนไปในทางเลวร้ายแต่อย่างใดหรอก
2. ตอนที่คุณตกอยู่ในห้วงแห่งรักไม่สมหวังอย่างนี้รู้ไหมว่า คุณกำลังอ่อนแอทั้งร่างกาย และจิตใจ สภาพโทรมจัดแบบนี้ มีสิทธิ์ถูกคนอื่นกลั่นแกล้ง ได้ง่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อย่าช้ำในนานนัก หมั่นดื่มน้ำ ใบบัวบกหรือน้ำเก๊กฮวยให้มันหายเก๊กซิมซะเร็วๆ
3. หากฟังคำพูดตัดสวาทของอีกฝ่ายแล้วยังไม่แน่ใจว่า เขาหรือเธอพูดจริงหรือพูดเล่น สอบถามอีกทีก็ได้นี่ว่า เราหมดเยื่อไม่เหลือใยกันจริงหรือ? ถ้ายังได้รับการยืนยันว่า ใช่ เค้าเรียกว่า ยังสะเออะไปถามให้ตัวเองหน้าแหกอีกทำไมก็ไม่รู้ สู้เอาเวลาไปตั้งหน้าตั้งตาจีบคนใหม่ดีกว่า การผิดหวัง อาจชักพาให้คุณสมหวังกับคนที่เหมาะสมยิ่งกว่าคนเก่าก็ได้ สักวันอาจเจอ "รักแท้" ที่จริงใจกว่าเดิม มีรักเหนียวแน่นกว่าครั้งนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้
4. ช้ำรักมักทำให้คุณขมขื่นก็จริง แต่ อย่าไปแสดงออกให้คนในอดีตของคุณรู้เข้าล่ะ เพราะไม่งั้น เขาจะหาว่า คุณขาดวุฒิภาวะ ยังไม่ เป็นผู้ใหญ่พอ ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หากยังควบคุมตัวเองไม่ได้ แล้วจะไปควบคุมอะไรไหวล่ะเนี่ย
5. ขอเวลานอก หลบไปพักผ่อน หรือยุติเรื่องหนักๆ ไว้ชั่วคราว สิ่งที่คุณเพิ่งเจอมานั้น สร้างความบอบช้ำมากพออยู่แล้ว ถ้าจิตใจยังไม่ปกติ ก็อย่าแสร้งทำเป็นว่า ตัวเองไม่เป็นอะไร การถูกคนรักตัดพ้อต่อว่า, ถูกสลัดรัก หรือถูกทิ้งทุกคน (ที่มีแฟน) ล้วนมีประสบการณ์ทำนองนี้ มาแล้วทั้งนั้น และอาจเผลอไปทำกับคนอื่นเอาไว้ แบบนี้เหมือนกัน ใช่ว่าจะถูกเขาทำฝ่ายเดียวซะที่ไหนล่ะ แต่หากหนีไปจากเรื่องวุ่นๆ ซ้ำซากจำเจได้ชั่วคราว ขอให้รีบทำ ขืนอยู่ที่เดิมๆ คงไม่แคล้วเห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด
6. ถ้าไม่กลายเป็นคนซึมกะทือ หรือมัมมี่เดินได้แล้วไซร้ การไปสังสรรค์ออกสังคม พบปะผู้คนบ้าง อาจช่วยให้ลืมเรื่องเก่าๆได้ แม้จะลืมได้ไม่ถาวร แต่ลืมได้ชั่วคราวก็ยังดี เดี๋ยวอีกหน่อยก็จะลืมตลอดกาลไปเองนั่นแหละ ทีเรื่องอื่น ทำไมถึงขี้ลืมกันเหลือเกิน ตรงข้ามกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ไยลืมไม่ลง ก็บ่ฮู้ สุดท้าย แทนที่คุณจะเกลียดอดีตหวานใจ เปลี่ยนเป็นจากกันด้วยดีและยังมี ความปรารถนาดีต่อกันซะเถิด อย่างน้อย เราคงเหลือความทรงจำดีๆต่อกันอยู่บ้าง
เศรษฐกิจพอเพียง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชนจนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนา และบริหารประเทศให้ดำเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอก และภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่ง ในการนำวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผน และการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิต ด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุล และพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซึ่งบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554)เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่า สังคมสีเขียว (Green Society) ด้วยหลักการดังกล่าว แผนพัฒนาฯฉบับที่ 10 นี้จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมืองและชนบท
ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล เรียกสิ่งนี้ว่า วิกฤตเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความไม่รู้ว่าจะนำปรัชญานี้ไปใช้ทำอะไร กลายเป็นว่าผู้นำสังคมทุกคน ทั้งนักการเมืองและรัฐบาลใช้คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง เป็นข้ออ้างในการทำกิจกรรมใด ๆ เพื่อให้รู้สึกว่าได้สนองพระราชดำรัสและให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เศรษฐกิจพอเพียง ถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องมือเพื่อตัวเอง ซึ่งความไม่เข้าใจนี้อาจเกิดจากการสับสนว่าเศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่นั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้มีความเข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงการปฏิเสธอุตสาหกรรมแล้วกลับไปสู่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ได้รับการเชิดชูสูงสุด จาก สหประชาชาติ (UN)โดยนายโคฟี อันนัน ในฐานะเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัล The Human Development Lifetime Achievement Award แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อ 26 พฤษภาคม 2549 และได้มีปาฐกถาถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็นปรัชญาที่สามารถเริ่มได้จากการสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง สู่หมู่บ้าน และสู่เศรษฐกิจในวงกว้างขึ้นในที่สุด เป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ โดยที่องค์การสหประชาชาติได้สนับสนุนให้ประเทศต่างๆที่เป็นสมาชิก 166 ประเทศยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน
หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง
การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีหลักพิจารณาอยู่ 5 ส่วน ดังนี้
การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมหภาคของไทย ซึ่งบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554)เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่สมดุล ยั่งยืน และมีภูมิคุ้มกัน เพื่อความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างยั่งยืน หรือที่เรียกว่า สังคมสีเขียว (Green Society) ด้วยหลักการดังกล่าว แผนพัฒนาฯฉบับที่ 10 นี้จะไม่เน้นเรื่องตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ยังคงให้ความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจแบบทวิลักษณ์ หรือระบบเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างกันระหว่างเศรษฐกิจชุมชนเมืองและชนบท
ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล เรียกสิ่งนี้ว่า วิกฤตเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความไม่รู้ว่าจะนำปรัชญานี้ไปใช้ทำอะไร กลายเป็นว่าผู้นำสังคมทุกคน ทั้งนักการเมืองและรัฐบาลใช้คำว่า เศรษฐกิจพอเพียง เป็นข้ออ้างในการทำกิจกรรมใด ๆ เพื่อให้รู้สึกว่าได้สนองพระราชดำรัสและให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดี หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เศรษฐกิจพอเพียง ถูกใช้เพื่อเป็นเครื่องมือเพื่อตัวเอง ซึ่งความไม่เข้าใจนี้อาจเกิดจากการสับสนว่าเศรษฐกิจพอเพียงกับทฤษฎีใหม่นั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทำให้มีความเข้าใจว่า เศรษฐกิจพอเพียงหมายถึงการปฏิเสธอุตสาหกรรมแล้วกลับไปสู่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ ได้รับการเชิดชูสูงสุด จาก สหประชาชาติ (UN)โดยนายโคฟี อันนัน ในฐานะเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าฯถวายรางวัล The Human Development Lifetime Achievement Award แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อ 26 พฤษภาคม 2549 และได้มีปาฐกถาถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็นปรัชญาที่สามารถเริ่มได้จากการสร้างภูมิคุ้มกันในตนเอง สู่หมู่บ้าน และสู่เศรษฐกิจในวงกว้างขึ้นในที่สุด เป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ โดยที่องค์การสหประชาชาติได้สนับสนุนให้ประเทศต่างๆที่เป็นสมาชิก 166 ประเทศยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน
หลักแนวคิดของเศรษฐกิจพอเพียง
การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีหลักพิจารณาอยู่ 5 ส่วน ดังนี้
- กรอบแนวคิด เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางการดำรงอยู่ และปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มุ่งเน้นการรอดพ้นจากภัย และวิกฤต เพื่อความมั่นคง และความยั่งยืนของการพัฒนา
- คุณลักษณะ เศรษฐกิจพอเพียงสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสายกลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน
- คำนิยาม ความพอเพียงจะต้องประกอบด้วย 3 คุณลักษณะ พร้อม ๆ กันดังนี้
- ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไป และไม่มากเกินไปโดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น เช่นการผลติ และการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ
- ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้น ๆ อย่างรอบคอบ
- การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้ และไกล
- เงื่อนไข การตัดสินใจและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียงนั้น ต้องอาศัยทั้งความรู้ และคุณธรรมเป็นพื้นฐาน กล่าวคือ
- เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นปฏิบัติ
- เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้างประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต
- แนวทางปฏิบัติ / ผลที่คาดว่าจะได้รับ จากการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ คือ การพัฒนาที่สมดุล และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ความรู้ และเทคโนโลยี
ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคนมีความรัก
เคยได้ยินสำนวนอันหนึ่งไหม ที่บอกว่า
สิ่งที่ดูน่ากลัว มักจะไม่อันตราย
สิ่งที่อันตราย มักจะดูไม่น่ากลัว
ว่ากันว่า.. ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคนมีความรัก
คือการที่รักกันมาแนบแน่น สวยหรู
โดยไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเลย
เพราะความสวยงามราบรื่น มันทำให้เรา "วางใจ"
จนอาจลืมไปว่า.. ยังไงๆ เขาก็เป็น "คนอื่น"
ยังไงๆ เขาก็มีหัวใจคนละดวงกับของเรา
สมองคนละก้อน ตัดสินใจได้เอง รู้สึกได้เอง
ว่าจะรัก จะเลิก จะอยู่หรือจะไป
ในเวลาอกหัก ใครจะมาบอกมาพูดอะไรสามวันสามคืน
ก็ไม่ช่วยอะไรได้มาก เท่ากับการมีปัญญาขึ้นในใจเราเอง
ถ้าเราเข้าใจได้ว่า คนเราเกิดมาเพื่อพบกัน
เพื่อมีวันเวลาที่ดีด้วยกัน
และเพื่อพรากจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว
เราก็จะทำใจ และปล่อยวางได้
โดยไม่ต้องการคำอธิบาย หรือตรรกะเหตุผลอะไรมากมาย
เวลาเจอเรื่องแบบนี้
อย่าเสียเวลาถามว่า "ทำไม" ให้มากความนะครับ
คิดเสียว่าเขาตายจากชีวิตเราไปแล้ว
คนที่เคยเป็นคนรักแสนดีของเรา เขาไม่อยู่ในโลกของเราแล้ว
ถ้าเรารักเขามากจริงๆ อย่างที่บอกเขาเสมอ
นี่ไง.. สิ่งสุดท้ายที่เราจะให้เขาได้
"ให้อภัย" ไง
คิดเสียว่า เขาจะมีความสุขมากกว่าที่ได้อยู่กับเรา
อวยพรให้เขาโชคดี ในโลกใหม่ของเขา
ไม่ต้องรอเขาหรอกนะ
อย่าไปหวังลมๆแล้งๆ ว่าคนตายแล้วจะฟื้นกลับมา
เพราะมันมีแต่ในหนังแฟรงเก้นสไตน์
และถึงเขาจะกลับมา เชื่อเถอะว่า
ความรู้สึกดีๆ มันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว
เขาเลือกทางเดินชีวิตของเขาแล้ว
เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขาแล้ว
เราก็เลือกได้เหมือนกัน
ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือจมปลักในทุกข์นี้ต่อไป
อยากร้องไห้ก็ร้องแต่พองาม พอให้รู้สึกว่าเรามีเลือดเนื้อ
แต่อย่าร้องจนเสียจริต เหมือนคนคิดสั้น
เพราะถึงเราจะร้องจนน้ำท่วมทุ่งกุลาร้องไห้
ก็ไม่ทำให้อะไรๆกลับมา เหมือนเดิม
เราอาจรู้สึกเหมือนโลกดับ วับหาย
แต่เปล่าหรอก.. ชีวิตเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้ความจริง
การเรียนรู้ความรู้สึกของการสูญเสียครั้งใหญ่
เป็นบทเรียนสำคัญของมนุษย์
ที่จะได้สอนตัวเองว่า .. อย่ายึดมั่นถือมั่น
ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ทั้งเรา ทั้งเขา ทั้งใครๆ
ทั้งสิ่งนั้น สิ่งนี้ สิ่งไหน
ทั้งโลกนี้ จักรวาล และกาลเวลา
ใครที่ป่วยใจอยู่ ขอให้เข้มแข็ง.. หนักแน่น.. มีสติ
และขอให้หายป่วยไวๆ
สิ่งที่ดูน่ากลัว มักจะไม่อันตราย
สิ่งที่อันตราย มักจะดูไม่น่ากลัว
ว่ากันว่า.. ส่วนที่น่ากลัวที่สุดของคนมีความรัก
คือการที่รักกันมาแนบแน่น สวยหรู
โดยไม่เคยมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งเลย
เพราะความสวยงามราบรื่น มันทำให้เรา "วางใจ"
จนอาจลืมไปว่า.. ยังไงๆ เขาก็เป็น "คนอื่น"
ยังไงๆ เขาก็มีหัวใจคนละดวงกับของเรา
สมองคนละก้อน ตัดสินใจได้เอง รู้สึกได้เอง
ว่าจะรัก จะเลิก จะอยู่หรือจะไป
ในเวลาอกหัก ใครจะมาบอกมาพูดอะไรสามวันสามคืน
ก็ไม่ช่วยอะไรได้มาก เท่ากับการมีปัญญาขึ้นในใจเราเอง
ถ้าเราเข้าใจได้ว่า คนเราเกิดมาเพื่อพบกัน
เพื่อมีวันเวลาที่ดีด้วยกัน
และเพื่อพรากจากกันในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว
เราก็จะทำใจ และปล่อยวางได้
โดยไม่ต้องการคำอธิบาย หรือตรรกะเหตุผลอะไรมากมาย
เวลาเจอเรื่องแบบนี้
อย่าเสียเวลาถามว่า "ทำไม" ให้มากความนะครับ
คิดเสียว่าเขาตายจากชีวิตเราไปแล้ว
คนที่เคยเป็นคนรักแสนดีของเรา เขาไม่อยู่ในโลกของเราแล้ว
ถ้าเรารักเขามากจริงๆ อย่างที่บอกเขาเสมอ
นี่ไง.. สิ่งสุดท้ายที่เราจะให้เขาได้
"ให้อภัย" ไง
คิดเสียว่า เขาจะมีความสุขมากกว่าที่ได้อยู่กับเรา
อวยพรให้เขาโชคดี ในโลกใหม่ของเขา
ไม่ต้องรอเขาหรอกนะ
อย่าไปหวังลมๆแล้งๆ ว่าคนตายแล้วจะฟื้นกลับมา
เพราะมันมีแต่ในหนังแฟรงเก้นสไตน์
และถึงเขาจะกลับมา เชื่อเถอะว่า
ความรู้สึกดีๆ มันจะไม่เหมือนเดิมแล้ว
เขาเลือกทางเดินชีวิตของเขาแล้ว
เขาเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขาแล้ว
เราก็เลือกได้เหมือนกัน
ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือจมปลักในทุกข์นี้ต่อไป
อยากร้องไห้ก็ร้องแต่พองาม พอให้รู้สึกว่าเรามีเลือดเนื้อ
แต่อย่าร้องจนเสียจริต เหมือนคนคิดสั้น
เพราะถึงเราจะร้องจนน้ำท่วมทุ่งกุลาร้องไห้
ก็ไม่ทำให้อะไรๆกลับมา เหมือนเดิม
เราอาจรู้สึกเหมือนโลกดับ วับหาย
แต่เปล่าหรอก.. ชีวิตเพิ่งจะเริ่มเรียนรู้ความจริง
การเรียนรู้ความรู้สึกของการสูญเสียครั้งใหญ่
เป็นบทเรียนสำคัญของมนุษย์
ที่จะได้สอนตัวเองว่า .. อย่ายึดมั่นถือมั่น
ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ทั้งเรา ทั้งเขา ทั้งใครๆ
ทั้งสิ่งนั้น สิ่งนี้ สิ่งไหน
ทั้งโลกนี้ จักรวาล และกาลเวลา
ใครที่ป่วยใจอยู่ ขอให้เข้มแข็ง.. หนักแน่น.. มีสติ
และขอให้หายป่วยไวๆ
เคล็ดลับ 12 วิธีเพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง
1. อย่าเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น เป็นหลักการง่ายๆ แต่หลายคนก็ยังทำใจแข็งไม่ได้เสียที วิธีแก้คือ ต้องทำใจยอมรับตัวตนของเราที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เช่น สีผิว รูปร่าง ฯลฯ ทุกคนเกิดมาย่อมแตกต่างกัน ดังนั้นจงรักตนเอง ภูมิใจในสิ่งที่เราเป็นดีที่สุด
2. จงเปรียบกับคนที่ด้อยกว่า สำหรับคนที่กำลังท้อแท้ คิดว่าตนเองแย่ที่สุดแล้ว ให้หันมามองผู้ที่ลำบากกว่า หรือจะลองเป็นอาสาสมัครไปเยี่ยมผู้ยากไร้ขาดโอกาสดูบ้างก็ได้ เพราะการทำเช่นนี้นอกจากจะสร้างกำลังใจ ให้ตนเองต่อสู้กับความยากลำบากแล้ว ยังได้บุญกุศลอีกด้วย
3. ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ไม่ควรคิดว่าไม่มีใครเข้าใจปัญหาของเรา หรือไม่มีใครสนใจ อันที่จริงหากเรามองไปรอบด้าน ก็จะเห็นว่าหลายคนยินดีที่จะช่วยเหลือเรา เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เอ่ยปากขอร้องเท่านั้นเอง แน่นอนว่าหากเราตกที่นั่งลำบาก และสิ่งที่ขอให้ช่วยก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงนัก เชื่อว่ามีคนเต็มใจช่วยแน่นอนค่ะ
4. พูดคุยกับเพื่อน เมื่อไรที่มีปัญหาหนักใจ อย่าลังเลที่จะปรึกษาเพื่อนสนิท หรือว่าหากเกิดขัดใจกันขึ้นมา อย่าลังเลที่จะเปิดอกพูดคุยกัน อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นปัญหาคาใจ
5. ปรึกษานักบำบัด หากพบว่าตนพยายามแก้ไขวิธีคิดแล้ว แต่ไม่สำเร็จสักที ให้นัดเวลาพูดคุยกับนักบำบัด หรือจิตแพทย์ก็ได้ ไม่ต้องกลัวหรืออายว่าคนอื่นจะหาว่าบ้า เพราะหากปล่อยให้กังวลใจอยู่เช่นนี้สุขภาพจิตเสียแน่นอน
6. ให้รางวัลตนเอง หลังจากที่ผ่านงานยากๆ หรืออุปสรรคหนักๆ เช่น ไปท่องเที่ยวพักผ่อน นัดสังสรรค์กับเพื่อนรู้ใจ
7. เก็บความภูมิใจลงในบันทึก ให้จดบันทึกข้อดี ลักษณะเด่น ความสามารถพิเศษ หรือความสำเร็จที่ตนเอง ภาคภูมิใจลงบนไดอารี่ หรือสมุดจด อาจทำเครื่องหมายเน้นผลงานที่ทำสำเร็จ เพราะเมื่อไรที่หยิบมาอ่านจะได้ชื่นใจ เกิดความภูมิใจในความสามารถของตนเอง หรืออาจใช้วิธีประเมินตนเองอย่างยุติธรรม โดยจดสิ่งที่ตนทำสำเร็จในแต่ละวัน แล้วประเมินอาทิตย์ละครั้ง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง
8. เสริมจุดเด่นลดจุดด้อย อย่าลังเลที่จะเรียน หรือทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ ไม่แน่คุณอาจจะมีพรสวรรค์บางอย่างซ่อนอยู่แบบไม่รู้ตัวมาก่อนก็ได้
9. พยายามทำกิจกรรมที่ตนชื่นชอบ ไม่ต้องกังวลว่าต้องไปตามลำพังตราบใดที่ยังชอบและมีความสุขกับกิจกรรมนั้นๆ เช่น ไปเรียนวาดรูป เรียนภาษาต่างประเทศ ฯลฯ นอกจากจะทำให้จิตใจแจ่มใส ยังอาจจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ เจอคนหลากหลายมากขึ้น
10. อย่าโทษตัวเองไปเสียทุกเรื่อง ปรับวิธีคิดให้มีเหตุและผลมากขึ้นกว่าเดิม
11. เผชิญหน้ากับการว่ากล่าวการว่ากล่าวนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องพบเจอ แต่สำหรับคนที่ขาดความมั่นใจจะเกิดอาการสะเทือนใจมากกว่าคนอื่น เพื่อจะลบความรู้สึกนี้ก่อนอื่นต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ของการว่ากล่าว เช่น ติเพื่อก่อ หรืออคติ หากเข้าข่ายประเด็นหลัง อย่าเก็บมาใส่ใจ เพราะจะยิ่งบั่นทอนความมั่นใจให้ลดน้อยลงไปอีก แต่หากเป็นเหตุผลแรก ให้ยิ้มสู้ รับฟังและกล่าวขอบคุณ นำคำตินั้นมาปรับปรุงพัฒนาตนเอง
12. ดูแลสุขภาพตนเอง
พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ รักษาความสะอาด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วิธีดูแลตนเองเช่นนี้นอกจากจะให้บุคลิกภาพดูดีขึ้นแล้ว ยังทำให้จิตใจแจ่มใสอีกด้วย ไม่ให้จิตใจจดจ่อ หมกมุ่นอยู่กับข้อด้อยของตนเองมากไป
การเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศคติตนเองต่อการมองโลกเพื่อเพิ่มความมั่นใจอาจดูยาก และใช้ความอดทนพอสมควร แต่ความมั่นใจนี้เองจะทำให้คุณมีความสุขกับชีวิต กลายเป็นคนใหม่ที่รักและพอใจกับสิ่งที่คุณเป็น
2. จงเปรียบกับคนที่ด้อยกว่า สำหรับคนที่กำลังท้อแท้ คิดว่าตนเองแย่ที่สุดแล้ว ให้หันมามองผู้ที่ลำบากกว่า หรือจะลองเป็นอาสาสมัครไปเยี่ยมผู้ยากไร้ขาดโอกาสดูบ้างก็ได้ เพราะการทำเช่นนี้นอกจากจะสร้างกำลังใจ ให้ตนเองต่อสู้กับความยากลำบากแล้ว ยังได้บุญกุศลอีกด้วย
3. ไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ไม่ควรคิดว่าไม่มีใครเข้าใจปัญหาของเรา หรือไม่มีใครสนใจ อันที่จริงหากเรามองไปรอบด้าน ก็จะเห็นว่าหลายคนยินดีที่จะช่วยเหลือเรา เพียงแต่ว่าเราไม่ได้เอ่ยปากขอร้องเท่านั้นเอง แน่นอนว่าหากเราตกที่นั่งลำบาก และสิ่งที่ขอให้ช่วยก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงนัก เชื่อว่ามีคนเต็มใจช่วยแน่นอนค่ะ
4. พูดคุยกับเพื่อน เมื่อไรที่มีปัญหาหนักใจ อย่าลังเลที่จะปรึกษาเพื่อนสนิท หรือว่าหากเกิดขัดใจกันขึ้นมา อย่าลังเลที่จะเปิดอกพูดคุยกัน อย่าปล่อยทิ้งไว้ให้เป็นปัญหาคาใจ
5. ปรึกษานักบำบัด หากพบว่าตนพยายามแก้ไขวิธีคิดแล้ว แต่ไม่สำเร็จสักที ให้นัดเวลาพูดคุยกับนักบำบัด หรือจิตแพทย์ก็ได้ ไม่ต้องกลัวหรืออายว่าคนอื่นจะหาว่าบ้า เพราะหากปล่อยให้กังวลใจอยู่เช่นนี้สุขภาพจิตเสียแน่นอน
6. ให้รางวัลตนเอง หลังจากที่ผ่านงานยากๆ หรืออุปสรรคหนักๆ เช่น ไปท่องเที่ยวพักผ่อน นัดสังสรรค์กับเพื่อนรู้ใจ
7. เก็บความภูมิใจลงในบันทึก ให้จดบันทึกข้อดี ลักษณะเด่น ความสามารถพิเศษ หรือความสำเร็จที่ตนเอง ภาคภูมิใจลงบนไดอารี่ หรือสมุดจด อาจทำเครื่องหมายเน้นผลงานที่ทำสำเร็จ เพราะเมื่อไรที่หยิบมาอ่านจะได้ชื่นใจ เกิดความภูมิใจในความสามารถของตนเอง หรืออาจใช้วิธีประเมินตนเองอย่างยุติธรรม โดยจดสิ่งที่ตนทำสำเร็จในแต่ละวัน แล้วประเมินอาทิตย์ละครั้ง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตนเอง
8. เสริมจุดเด่นลดจุดด้อย อย่าลังเลที่จะเรียน หรือทำกิจกรรมที่ตนเองชอบ ไม่แน่คุณอาจจะมีพรสวรรค์บางอย่างซ่อนอยู่แบบไม่รู้ตัวมาก่อนก็ได้
9. พยายามทำกิจกรรมที่ตนชื่นชอบ ไม่ต้องกังวลว่าต้องไปตามลำพังตราบใดที่ยังชอบและมีความสุขกับกิจกรรมนั้นๆ เช่น ไปเรียนวาดรูป เรียนภาษาต่างประเทศ ฯลฯ นอกจากจะทำให้จิตใจแจ่มใส ยังอาจจะได้รู้จักเพื่อนใหม่ เจอคนหลากหลายมากขึ้น
10. อย่าโทษตัวเองไปเสียทุกเรื่อง ปรับวิธีคิดให้มีเหตุและผลมากขึ้นกว่าเดิม
11. เผชิญหน้ากับการว่ากล่าวการว่ากล่าวนับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องพบเจอ แต่สำหรับคนที่ขาดความมั่นใจจะเกิดอาการสะเทือนใจมากกว่าคนอื่น เพื่อจะลบความรู้สึกนี้ก่อนอื่นต้องพิจารณาวัตถุประสงค์ของการว่ากล่าว เช่น ติเพื่อก่อ หรืออคติ หากเข้าข่ายประเด็นหลัง อย่าเก็บมาใส่ใจ เพราะจะยิ่งบั่นทอนความมั่นใจให้ลดน้อยลงไปอีก แต่หากเป็นเหตุผลแรก ให้ยิ้มสู้ รับฟังและกล่าวขอบคุณ นำคำตินั้นมาปรับปรุงพัฒนาตนเอง
12. ดูแลสุขภาพตนเอง
พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ รักษาความสะอาด นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ วิธีดูแลตนเองเช่นนี้นอกจากจะให้บุคลิกภาพดูดีขึ้นแล้ว ยังทำให้จิตใจแจ่มใสอีกด้วย ไม่ให้จิตใจจดจ่อ หมกมุ่นอยู่กับข้อด้อยของตนเองมากไป
การเปลี่ยนแปลงความคิดและทัศคติตนเองต่อการมองโลกเพื่อเพิ่มความมั่นใจอาจดูยาก และใช้ความอดทนพอสมควร แต่ความมั่นใจนี้เองจะทำให้คุณมีความสุขกับชีวิต กลายเป็นคนใหม่ที่รักและพอใจกับสิ่งที่คุณเป็น
สิ่งที่เรามองข้าม
บทความนี้เขียนขึ้นโดย จอร์จ คอลลิน ซึ่งเป็นดาราตลกที่โด่งดัง เขาเขียนขึ้นในวันที่ 11 กันยายน (ตึกเวิรด์เทรดถล่ม) หลังจากที่ทราบว่าภรรยาของเขาเสียชีวิตในตึกนั้นด้วย.. ทำ..ในสิ่งที่อยากจะทำ อยากให้ทุกคนได้อ่าน ข้อความนี้ มีความหมายดีนะ
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น…………
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น……จากนี้ไป……ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ ……โอกาสที่พิเศษสุด……แล้ว
จงแสวงหา การหยั่งรู้
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ…..อยาก…
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น…….
กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
เอาคำพูดที่ว่า…….สักวันหนึ่ง……..ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน
อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง
และเวลานี้….
ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน…… แล้วคิดว่า….สักวันหนึ่ง………..ค่อยส่ง.. จงอย่าลืมคิดว่า….สักวันหนึ่ง…..วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้
ทุกวันนี้เรามีตึกสูงขึ้น มีถนนกว้างขึ้นแต่ความอดกลั้นน้อยลง
เรามีบ้านใหญ่ขึ้น แต่ครอบครัวของเรากลับเล็กลง
เรามียาใหม่ ๆ มากขึ้น แต่สุขภาพกลับแย่ลง
เรามีความรักน้อยลง แต่มีความเกลียดมากขึ้น
เราไปถึงโลกพระจันทร์มาแล้ว แต่เรากลับพบว่า
แค่การข้ามถนนไปทักทายเพื่อนบ้านกลับยากเย็น…………
เราพิชิตห้วงอวกาศมาแล้ว แต่แค่ห้วงในหัวใจกลับไม่อาจสัมผัสถึง
เรามีรายได้สูงขึ้น แต่ศีลธรรมกลับตกต่ำลง
เรามีอาหารดี ๆ มากขึ้นแต่สุขภาพแย่ลง
ทุกวันนี้ทุกบ้านมีคนหารายได้ได้ถึง 2 คน แต่การหย่าร้างกลับเพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น……จากนี้ไป……ขอให้พวกเรา อย่าเก็บของดี ๆ ไว้โดยอ้างว่าเพื่อโอกาสพิเศษ
เพราะทุกวันที่เรายังมีชีวิตอยู่คือ ……โอกาสที่พิเศษสุด……แล้ว
จงแสวงหา การหยั่งรู้
จงนั่งตรงระเบียงบ้านเพื่อชื่นชมกับการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ใส่ใจกับความ…..อยาก…
จงใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูงคนที่รักให้มากขึ้น…….
กินอาหารให้อร่อย ไปเที่ยวในที่ที่อยากจะไป
ชีวิตคือโซ่ห่วงของนาทีแห่งความสุขไม่ใช่เพียงแค่การอยู่ให้รอด
เอาแก้วเจียระไนที่มีอยู่มาใช้เสีย
น้ำหอมดี ๆ ที่ชอบ จงหยิบมาใช้เมื่ออยากจะใช้
เอาคำพูดที่ว่า…….สักวันหนึ่ง……..ออกไปเสียจากพจนานุกรม
บอกคนที่เรารักทุกคนว่าเรารักพวกเขาเหล่านั้นแค่ไหน
อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง ที่จะทำอะไรก็ตามที่ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น
ทุกวัน ทุกชั่วโมง ทุกนาที มีความหมาย
เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไรมันจะสิ้นสุดลง
และเวลานี้….
ถ้าคุณคิดว่าคุณไม่มีเวลาที่จะ copy ข้อความนี้ไปให้คนที่คุณรักอ่าน…… แล้วคิดว่า….สักวันหนึ่ง………..ค่อยส่ง.. จงอย่าลืมคิดว่า….สักวันหนึ่ง…..วันนั้น คุณอาจไม่มีโอกาสมานั่งตรงนี้เพื่อทำอย่างที่คุณต้องการอีกก็ได้
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็น แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่ง ของเมืองไทย เพราะมีสภาพธรรมชาติสมบูรณ์ประกอบด้วยระบบนิเวศและภูมิประเทศหลากหลาย ทั้งทุ่งหญ้า ป่าสนเขา ป่าดิบ น้ำตกและ หน้าผาชมทิวทัศน์ ลักษณะเด่นของอุทยานฯ แห่งนี้คือเป็นภูเขาหินทราย ยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่คล้ายใบบอนหรือรูปหัวใจ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จุดท่องเที่ยวประทับใจได้แก่ ผานกแอ่น ผาหล่มสัก ผาหมากดูด น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำสอเหนือ-ใต้ สระอโนดาด เป็นต้น
ความผิดทางอาญา
ความผิดทางอาญา คือ การกระทำที่มีผลกระทบกระเทือนต่อสังคม หรือคนส่วนใหญ่ของประเทศหากปล่อยให้ผู้ใดกระทำผิดแล้วมีการลงโทษหรือแก้แค้น ล้างแค้นกันเอง จะทำให้มีการกระทำความผิดอาญามากขึ้น บ้านเมืองจะไม่มีความสุข ทุกคนจะหันมาจับอาวุธป้องกันตัวเอง คนที่แข็งแรงกว่าจะรังแกคนที่อ่อนแอกว่า กฎหมู่หรือการเล่นพวกจะเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ดังนั้น รัฐจึงจำเป็นต้องยื่นมือเข้ามาลงโทษผู้กระทำผิดเสียเองโดยโทษที่จะลงต้องเป็น โทษที่กฎหมายได้กำหนดไว้
2. ลักษณะสำคัญของความผิดทางอาญา
(1).เป็นกฎหมายที่ชัดแจ้ง ในขณะที่กระทำความผิดต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้แล้วอย่างชัดแจ้งว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด เจ้าหน้าที่ผู้ใช้กฎหมายจะสร้างกฎหมายใหม่ขึ้นมาใช้บังคับแก่ประชาชนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะไม่ได้ เช่น กฎหมายบัญญัติว่า "การลักทรัพย์เป็นความผิด" ดังนั้น ผู้ใดลักทรัพย์ก็ย่อมมีความผิดเช่นเดียวกัน
(2).เป็นกฎหมายที่ไม่มีผลย้อนหลัง ถ้าหากในขณะที่มีการกระทำสิ่งใดยังไม่มีกฎหมายอาญาบัญญัติว่าเป็นความผิด แม้ต่อมาภายหลังจะมีกฎหมายบัญญัติว่า การกระทำอย่างเดียวกันนั้นเป็นความผิดก็จะนำกฎหมายใหม่มาใช้กับการกระทำครั้งแรกไม่ได้
3. โทษทางอาญา มีอะไรบ้าง
โทษทางอาญา ที่จะใช้ลงโทษผู้กระทำผิดมีอยู่ 5 ชนิดเท่านั้น หากผู้ใดกระทำความผิดทางอาญา เมื่อจะมีลงโทษผู้ลงโทษจะสรรหาวิธีการลงโทษแปลก ๆ มาลงโทษผู้กระทำผิดไม่ได้ ต้องใช้โทษอย่างใดอย่างหนึ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ลงโทษ ซึ่งเรียงจากโทษหนักไปหาโทษเบา คือ
(1) โทษประหารชีวิต ได้แก่ การเอาไปยิงเสียให้ตาย
(2) โทษจำคุก ได้แก่ การเอาตัวไไปขังในเรือนจำ
(3) โทษกักขัง ได้แก่ การเอาตัวไปกักขังหรือควบคุมไว้ในสถานที่กักขัง ซึ่งกำหนดไว้อันมิใช่เรือนจำ
(4) โทษปรับ ได้แก่ การลงโทษด้วยการปรับให้ผู้กระทำความ ความผิดจ่ายเงิน ให้แก่รัฐ
(5) ให้ริบทรัพย์สิน ได้แก่ การลงโทษริบเอาข้าของเงินทองของผู้กระทำผิดมาเป็นของรัฐ
ความรับผิดทางอาญา
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ วรรคหนึ่งว่า หลักว่า “บุคคลจักต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา….ฯลฯ”
มาตรา ๕๙ วรรคสามวางหลักว่า “ถ้าผู้กระทำใดไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้นั้นประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลไม่ได้”
มาตรา ๕๙ วรรคสี่ วางหลักว่า “การกระทำโดยประมาทได้แก่กระทำความผิดโดยมิใช่เจตนาแต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”
มาตรา ๖๒ วรรคสองวางหลักว่า “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา ๕๙ หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าการกระทำนั้น ผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท”
ดังนั้นผู้กระทำการใดๆที่กฎหมายกำหนดว่าเป็นความผิดจะต้องรับผิดทางอาญา ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนาเท่านั้น เว้นแต่มีกฎหมายกำหนดไว้ว่าแม้ไม่ได้กระทำโดยเจตนาก็เป็นความผิด เช่น
• การกระทำโดยประมาท
• การกระทำความผิดลหุโทษ
ผู้กระทำการที่กฎหมายกำหนดว่าเป็นความผิดจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่ามีเหตุผลสมควร
ข้อยกเว้นที่ไม่ต้องรับผิดในทางอาญา
เหตุยกเว้นความผิด ถือว่าผู้กระทำไม่มีความผิดอาญาเลย เช่น
• การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
• ผู้เสียหายยินยอมให้กระทำ
• มีกฎหมายประเพณี
• มีกฎหมายอื่นให้อำนาจกระทำได้
เหตุยกเว้นโทษทางอาญา ถือว่ายังเป็นความผิดอยู่แต่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษทางอาญา
• การกระทำความผิดด้วยความจำเป็น
• การกระทำความผิดเพราะความบกพร่องทางจิต
• การกระทำความผิดเพราะความมึนเมา
• การกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน
• สามี ภริยา กระทำความผิดต่อกันในเรื่องทรัพย์
• เด็กอายุไม่เกิน ๑๔ ปี กระทำความผิด
อายุความ
อายุความ เป็นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อมิให้ผู้กระทำผิดต้องมีชนักติดหลังไปตลอดชีวิตและเป็นการที่เร่งรัดคดีให้ได้ตัวผู้กระทำความผิดมาพิจารณาโดยเร็ว เนื่องจากการปล่อยระยะเวลาให้เนิ่นนานไปจะทำให้ไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดได้
อายุความมี ๓ ประเภท คือ
• อายุความฟ้องคดีทั่วไป มี ๕ ระดับ คือ
-อายุความ ๒๐ ปี สำหรับความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก ๒๐ ปี
-อายุความ ๑๕ ปี สำหรับความผิดที่มีระวางโทษจำคุกกว่า ๗ ปี แต่ยังไม่ถึง ๒๐ ปี
-อายุความ ๑๐ ปี สำหรับความผิดที่มีระวางโทษจำคุกกว่า ๑ ปี ถึง ๗ ปี
-อายุความ ๕ ปี สำหรับความผิดที่มีระวางโทษจำคุกกว่า ๑ เดือน ถึง ๑ ปี
-อายุความ๑ ปี สำหรับความผิดที่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ เดือนลงมา หรือต้องระวางโทษอย่างอื่น
• อายุความฟ้องคดีความผิดอันยอมความได้ นอกจากถือตามอายุความฟ้องคดีทั่วไปแล้ว ยังต้องร้องทุกข์ภายใน ๓ เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิดด้วย
• อายุความฟ้องขอให้กักกัน จะฟ้องไปพร้อมกับการฟ้องคดีอันเป็นเหตุที่ขอให้กักกันหรืออย่างช้าภายใน ๖ เดือนนับแต่วันที่ฟ้องคดีดังกล่าว
2. ลักษณะสำคัญของความผิดทางอาญา
(1).เป็นกฎหมายที่ชัดแจ้ง ในขณะที่กระทำความผิดต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้แล้วอย่างชัดแจ้งว่าการกระทำนั้นเป็นความผิด เจ้าหน้าที่ผู้ใช้กฎหมายจะสร้างกฎหมายใหม่ขึ้นมาใช้บังคับแก่ประชาชนคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะไม่ได้ เช่น กฎหมายบัญญัติว่า "การลักทรัพย์เป็นความผิด" ดังนั้น ผู้ใดลักทรัพย์ก็ย่อมมีความผิดเช่นเดียวกัน
(2).เป็นกฎหมายที่ไม่มีผลย้อนหลัง ถ้าหากในขณะที่มีการกระทำสิ่งใดยังไม่มีกฎหมายอาญาบัญญัติว่าเป็นความผิด แม้ต่อมาภายหลังจะมีกฎหมายบัญญัติว่า การกระทำอย่างเดียวกันนั้นเป็นความผิดก็จะนำกฎหมายใหม่มาใช้กับการกระทำครั้งแรกไม่ได้
3. โทษทางอาญา มีอะไรบ้าง
โทษทางอาญา ที่จะใช้ลงโทษผู้กระทำผิดมีอยู่ 5 ชนิดเท่านั้น หากผู้ใดกระทำความผิดทางอาญา เมื่อจะมีลงโทษผู้ลงโทษจะสรรหาวิธีการลงโทษแปลก ๆ มาลงโทษผู้กระทำผิดไม่ได้ ต้องใช้โทษอย่างใดอย่างหนึ่งที่กฎหมายกำหนดไว้ลงโทษ ซึ่งเรียงจากโทษหนักไปหาโทษเบา คือ
(1) โทษประหารชีวิต ได้แก่ การเอาไปยิงเสียให้ตาย
(2) โทษจำคุก ได้แก่ การเอาตัวไไปขังในเรือนจำ
(3) โทษกักขัง ได้แก่ การเอาตัวไปกักขังหรือควบคุมไว้ในสถานที่กักขัง ซึ่งกำหนดไว้อันมิใช่เรือนจำ
(4) โทษปรับ ได้แก่ การลงโทษด้วยการปรับให้ผู้กระทำความ ความผิดจ่ายเงิน ให้แก่รัฐ
(5) ให้ริบทรัพย์สิน ได้แก่ การลงโทษริบเอาข้าของเงินทองของผู้กระทำผิดมาเป็นของรัฐ
ความรับผิดทางอาญา
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๙ วรรคหนึ่งว่า หลักว่า “บุคคลจักต้องรับผิดทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา….ฯลฯ”
มาตรา ๕๙ วรรคสามวางหลักว่า “ถ้าผู้กระทำใดไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้นั้นประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลไม่ได้”
มาตรา ๕๙ วรรคสี่ วางหลักว่า “การกระทำโดยประมาทได้แก่กระทำความผิดโดยมิใช่เจตนาแต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”
มาตรา ๖๒ วรรคสองวางหลักว่า “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา ๕๙ หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าการกระทำนั้น ผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท”
ดังนั้นผู้กระทำการใดๆที่กฎหมายกำหนดว่าเป็นความผิดจะต้องรับผิดทางอาญา ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนาเท่านั้น เว้นแต่มีกฎหมายกำหนดไว้ว่าแม้ไม่ได้กระทำโดยเจตนาก็เป็นความผิด เช่น
• การกระทำโดยประมาท
• การกระทำความผิดลหุโทษ
ผู้กระทำการที่กฎหมายกำหนดว่าเป็นความผิดจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่ามีเหตุผลสมควร
ข้อยกเว้นที่ไม่ต้องรับผิดในทางอาญา
เหตุยกเว้นความผิด ถือว่าผู้กระทำไม่มีความผิดอาญาเลย เช่น
• การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
• ผู้เสียหายยินยอมให้กระทำ
• มีกฎหมายประเพณี
• มีกฎหมายอื่นให้อำนาจกระทำได้
เหตุยกเว้นโทษทางอาญา ถือว่ายังเป็นความผิดอยู่แต่ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษทางอาญา
• การกระทำความผิดด้วยความจำเป็น
• การกระทำความผิดเพราะความบกพร่องทางจิต
• การกระทำความผิดเพราะความมึนเมา
• การกระทำตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน
• สามี ภริยา กระทำความผิดต่อกันในเรื่องทรัพย์
• เด็กอายุไม่เกิน ๑๔ ปี กระทำความผิด
อายุความ
อายุความ เป็นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อมิให้ผู้กระทำผิดต้องมีชนักติดหลังไปตลอดชีวิตและเป็นการที่เร่งรัดคดีให้ได้ตัวผู้กระทำความผิดมาพิจารณาโดยเร็ว เนื่องจากการปล่อยระยะเวลาให้เนิ่นนานไปจะทำให้ไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ความผิดได้
อายุความมี ๓ ประเภท คือ
• อายุความฟ้องคดีทั่วไป มี ๕ ระดับ คือ
-อายุความ ๒๐ ปี สำหรับความผิดที่มีระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุก ๒๐ ปี
-อายุความ ๑๕ ปี สำหรับความผิดที่มีระวางโทษจำคุกกว่า ๗ ปี แต่ยังไม่ถึง ๒๐ ปี
-อายุความ ๑๐ ปี สำหรับความผิดที่มีระวางโทษจำคุกกว่า ๑ ปี ถึง ๗ ปี
-อายุความ ๕ ปี สำหรับความผิดที่มีระวางโทษจำคุกกว่า ๑ เดือน ถึง ๑ ปี
-อายุความ๑ ปี สำหรับความผิดที่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ เดือนลงมา หรือต้องระวางโทษอย่างอื่น
• อายุความฟ้องคดีความผิดอันยอมความได้ นอกจากถือตามอายุความฟ้องคดีทั่วไปแล้ว ยังต้องร้องทุกข์ภายใน ๓ เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องและรู้ตัวผู้กระทำความผิดด้วย
• อายุความฟ้องขอให้กักกัน จะฟ้องไปพร้อมกับการฟ้องคดีอันเป็นเหตุที่ขอให้กักกันหรืออย่างช้าภายใน ๖ เดือนนับแต่วันที่ฟ้องคดีดังกล่าว
ลำดับศักดิ์ของกฏหมายไทย
กฎหมาย คือ บรรดาคำสั่งหรือข้อบังคับของรัฐหรือประเทศที่ใช้บังคับความประพฤติทั้งหลายของบุคคล อันเกี่ยวด้วยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน ถ้าใครฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามจะต้องมีความผิดและถูกลงโทษ ในทางอาญาอาจจะมีโทษปรับเป็นเงินหรือโทษจำคุก ในทางแพ่งอาจจะถูกบังคับให้ชำระหนี้หรือชดใช้ค่าเสียหาย
ลำดับชั้นของกฎหมายไทย
1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ
คือ กฎหมายสูงสุดในการจัดระเบียบการปกครองประเทศซึ่งจะวางระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดของรัฐหรืออำนาจอธิปไตย ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ตลอดจนการกำหนดสิทธิเสรีภาพและหน้าที่ของชนชาวไทย
2.พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)
คือกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมของรัฐสภา เป็นกฎหมายหลักที่สำคัญ
ที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน พระราชบัญญัติเป็นกฎหมายที่มีลำดับชั้นรองลงมาจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติที่สำคัญที่รัฐสภาตราออกมาใช้บังคับ เช่น พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติคุ้มครองสุขภาพของผู้ไม่สูบบุหรี่ พ.ศ. 2535 เป็นต้น
3. ประมวลกฎหมาย
คือ กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ได้บัญญัติหรือตราขึ้นโดยรวบรวมจัดเอาบทบัญญัติเกี่ยวกับกฎหมายที่
เป็นเรื่องเดียวกันเอามารวบรวมเป็นหมวดหมู่ วางหลักเกณฑ์ให้อยู่ในที่เดียวกันและมีข้อความเกี่ยวเนื่องติดต่อกันอย่างเป็นระเบียบ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลรัษฎากร เป็นต้น
ประมวลกฎหมายมีฐานะเท่าเทียมกับพระราชบัญญัติ
4. พระราชกำหนด (พ.ร.ก.)
คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี การตราพระราชกำหนดให้กระทำได้เฉพาะเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่าเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และต้องเป็นกรณีเพื่อจะรักษาความปลอดภัยของประเทศหรือความปลอดภัยสาธารณะ หรือความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือเป็นพระราชกำหนดเกี่ยวด้วยการภาษีอากรหรือเงินตราซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดินและเมื่อได้ประกาศใช้แล้วต้องเสนอพระราชกำหนดนั้นต่อสภาทันทีถ้ารัฐอนุมัติก็มีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป ถ้ารัฐสภาไม่อนุมัติก็ตกไป แต่ถ้าไม่กระทบกระเทือนกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น การประกาศใช้พระราชกำหนดให้ประกาศในราช-กิจจานุเบกษา โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามสนองพระบรมราชโองการ
5.พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ)
คือ กฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี พระราชกฤษฎีกาจะออกได้ต่อเมื่อพระราชบัญญัติซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บทให้อำนาจไว้ พระราชกฤษฎีกาจึงเป็นเสมือนกฎหมายที่ไม่สามารถจะออกมาให้ขัดหรือแย้งกับกฎหมายแม่บท และถ้ากฎหมายแม่บทถูกยกเลิก พระราชกฤษฎีกานั้นก็ถือว่าถูกยกเลิกไปด้วย การประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
6. กฎกระทรวง
คือ กฎหมายที่รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติอันเป็นกฎหมายแม่บทออกมาเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินั้น ๆ กฎกระทรวงจึงเป็นกฎหมายบริวารที่กำหนดรายละเอียดของกฎหมายแม่บทอีกต่อหนึ่ง กฎกระทรวงจะออกมาขัดแย้งกับกฎหมายแม่บทไม่ได้และถ้ากฎหมายแม่บทถูกยกเลิก กฎกระทรวงนั้นถือว่าถูกยกเลิกไปด้วย คณะรัฐมนตรีเป็นอนุมัติกฎกระทรวง การประกาศใช้กฎกระทรวงให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
7. ประกาศ ระเบียบ ข้อบังคับ และคำสั่ง
คือ กฎหมายปลีกย่อยประเภทที่เป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้แก่เรื่องที่เกี่ยวกับระเบียบการปฏิบัติราชการภายในและการที่จะนำกฎหมายปลีกย่อยเหล่านี้ไปประกาศในราชกิจจานุเบกษา ต้องเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ถ้าในกฎหมายไม่ได้กำหนดเช่นนั้นก็อยู่ในดุลยพินิจของผู้มีอำนาจว่าการจะประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาหรือไม่ ซึ่งประกาศ ระเบียบข้อบังคับ และคำสั่งเหล่านั้นก็เป็นกฎหมายได้เช่นกัน
8. กฎหมายที่ออกโดยองค์กรปกครองตนเอง
ได้แก่ ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร ข้อบัญญัติเมืองพัทยา ข้อบัญญัติจังหวัด เทศบัญญัติ และข้อบังคับสุขาภิบาล เป็นกฎหมายที่มีพระราชบัญญัติการจัดตั้งองค์กรปกครองตนเองอันเป็นการบริหารส่วนท้องถิ่นนั้น ๆ ให้มีอำนาจออกกฎหมายบังคับใช้เฉพาะท้องถิ่นเท่านั้น
ประวัติตี๋ใหญ่
ตี๋ใหญ่ มีชื่อจริงว่า กรประเสริฐ ช่างเขียน เป็นชาว อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี เมื่อยังเด็ก ตี๋ใหญ่มักถูกเพื่อนๆ วัยเดียวกันกลั่นแกล้งรังแกอยู่เสมอๆ จึงทำให้เป็นคนกล้าสู้คนขึ้นมา
โดยสภาพแวดล้อมแถวบ้านเป็นเรือสวนไร่นา ตี๋ใหญ่จึงมักจะตัดก้านบัวเป็นหลอดอมเข้าปากเพื่อหาย ใจในน้ำเสมอๆ ซึ่งต่อมา นี่เป็นวิธีที่ตี๋ใหญ่ใช้ในการหลบหนีตำรวจวิธีหนึ่ง
ตี๋ใหญ่ โด่งดังจากการเป็นโจรปล้นฆ่าชื่อเสียงโด่งดัง ในราวก่อนปี พ.ศ. 2520 โดยจะปล้นฆ่าไปทั่วแถบบริเวณ จ.ราชบุรีและหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง และบางส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีเสียงเล่าลือกันว่า ตี๋ใหญ่ เป็นโจรใจเด็ด เคยหนีตำรวจโดยกระโดดลงจากรถไฟมาแล้ว และสลัดกุญแจมือด้วยการซ่อนตัวอยู่ใต้สะพานให้รถไฟทั บให้ขาด นอกจากนี้ยังเชื่อว่ากัน ตี๋ใหญ่ เป็นโจรจอมขมังเวทย์ มีคาถาอาคมกำบังหายตัวได้ จึงทำให้หลุดรอดจากการจับกุมของทางการอยู่เสมอๆ
นอกจากนี้แล้ว ตี๋ใหญ่ ยังเป็นโจรเจ้าชู้ กล่าวกันว่ามีภรรยาหลายคน เพราะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง โดยตี๋ใหญ่โกหกชื่อตน ว่าชื่อแจ็คบ้าง ไพโรจน์บ้าง เป็นต้น โดยที่ภรรยาเหล่านี้บางคนยังไม่ทราบเสียด้วยซ้ำว่า สามีของตนนั้นเป็นโจร
ตี๋ใหญ่มักจะอยู่ไม่เป็นที่ ต้องคอยหลบหนีตลอด โดยเวลานอนจะจุดธูปหนีบไว้ที่นิ้วเท้าเมื่อธูปหมดดอก ก็จะย้ายไปที่อื่น ตี๋ใหญ่มีเอกลักษณ์ประจำตัวคือ มักจะแต่งกายด้วยเสื้อเชิร์ตลายสก๊อต กางเกงยีนส์สีดำ สวมแว่นตาดำ และรองเท้าผ้าใบ เวลาตี๋ใหญ่ออกปล้นมักจะฆ่าเจ้าทรัพย์ด้วยความโหดเหี ้ยม โดยจะส่งเสียงขู่ด้วยน้ำเสียงที่น่าหวาดกลัว แต่ก็เสียงเล่าลือกันอีกว่า ในบางครั้งตี๋ใหญ่ก็ปล้นแต่เฉพาะคนรวย และใครเคยช่วยเหลือก็ไม่เคยลืมบุญคุณและจะนำทรัพย์สิ นที่ปล้นได้มาแบ่งให้ โดยวางทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน
ตี๋ใหญ่ได้เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2524 โดยตำรวจโดยการนำของ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ (ยศในปัจจุบัน - อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล) เล่ากันว่าที่ตี๋ใหญ่เสียชีวิตนั้น เพราะกำลังหลบหนี ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันได้ให้น้องลูกขับรถกระบะไปรับเพ ื่อไปหาพระเกจิอาจารย์รูป คือ หลวงพ่อสุด วัดกาหลง ที่ จ.สมุทรสาครเพื่อไปขอพระจากหลวงปู่สุดเพราะของเดิมผู ้ที่รู้บางท่านบอกว่าถูกเพื่อนขโมยไป ทั้งตะกรุดและพระ แต่ไม่พบ ขณะที่เดินทางกลับ ได้ถูกเพื่อนร่วมเดินทางหักหลังยิงตี๋ใหญ่จนตาย แล้วรีบออกจากรถ หลังจากตำรวจมาถึงรถที่ตี๋ใหญ่ตายอยู่ในรถก็ได้ระดมย ิงถล่มรถอีกครั้งโดยไม่รู้ว่าตี๋ใหญ่ได้ตายอยู่ในรถก ่อนหน้านี้แล้ว
ภายหลังจากการเสียชีวิตแล้ว ยังมีเสียงเล่าลือกันว่า ตี๋ใหญ่แท้จริงยังไม่ตาย บ้างก็ลือกันว่าตี๋ใหญ่ได้หนีไปอยู่สหรัฐอเมริกา บ้างก็เชื่อว่าที่ตี๋ใหญ่เสียท่าแก่ตำรวจ เพราะได้หลบไปซ่อนอยู่ใต้ผ้าถุง อาคมในตัวจึงเสื่อม เป็นต้น เรื่องราวของตี๋ใหญ่ยังถูกเล่าขานต่อๆ กันมา
โดยสภาพแวดล้อมแถวบ้านเป็นเรือสวนไร่นา ตี๋ใหญ่จึงมักจะตัดก้านบัวเป็นหลอดอมเข้าปากเพื่อหาย ใจในน้ำเสมอๆ ซึ่งต่อมา นี่เป็นวิธีที่ตี๋ใหญ่ใช้ในการหลบหนีตำรวจวิธีหนึ่ง
ตี๋ใหญ่ โด่งดังจากการเป็นโจรปล้นฆ่าชื่อเสียงโด่งดัง ในราวก่อนปี พ.ศ. 2520 โดยจะปล้นฆ่าไปทั่วแถบบริเวณ จ.ราชบุรีและหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง และบางส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีเสียงเล่าลือกันว่า ตี๋ใหญ่ เป็นโจรใจเด็ด เคยหนีตำรวจโดยกระโดดลงจากรถไฟมาแล้ว และสลัดกุญแจมือด้วยการซ่อนตัวอยู่ใต้สะพานให้รถไฟทั บให้ขาด นอกจากนี้ยังเชื่อว่ากัน ตี๋ใหญ่ เป็นโจรจอมขมังเวทย์ มีคาถาอาคมกำบังหายตัวได้ จึงทำให้หลุดรอดจากการจับกุมของทางการอยู่เสมอๆ
นอกจากนี้แล้ว ตี๋ใหญ่ ยังเป็นโจรเจ้าชู้ กล่าวกันว่ามีภรรยาหลายคน เพราะเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง โดยตี๋ใหญ่โกหกชื่อตน ว่าชื่อแจ็คบ้าง ไพโรจน์บ้าง เป็นต้น โดยที่ภรรยาเหล่านี้บางคนยังไม่ทราบเสียด้วยซ้ำว่า สามีของตนนั้นเป็นโจร
ตี๋ใหญ่มักจะอยู่ไม่เป็นที่ ต้องคอยหลบหนีตลอด โดยเวลานอนจะจุดธูปหนีบไว้ที่นิ้วเท้าเมื่อธูปหมดดอก ก็จะย้ายไปที่อื่น ตี๋ใหญ่มีเอกลักษณ์ประจำตัวคือ มักจะแต่งกายด้วยเสื้อเชิร์ตลายสก๊อต กางเกงยีนส์สีดำ สวมแว่นตาดำ และรองเท้าผ้าใบ เวลาตี๋ใหญ่ออกปล้นมักจะฆ่าเจ้าทรัพย์ด้วยความโหดเหี ้ยม โดยจะส่งเสียงขู่ด้วยน้ำเสียงที่น่าหวาดกลัว แต่ก็เสียงเล่าลือกันอีกว่า ในบางครั้งตี๋ใหญ่ก็ปล้นแต่เฉพาะคนรวย และใครเคยช่วยเหลือก็ไม่เคยลืมบุญคุณและจะนำทรัพย์สิ นที่ปล้นได้มาแบ่งให้ โดยวางทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน
ตี๋ใหญ่ได้เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2524 โดยตำรวจโดยการนำของ พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ (ยศในปัจจุบัน - อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล) เล่ากันว่าที่ตี๋ใหญ่เสียชีวิตนั้น เพราะกำลังหลบหนี ก่อนหน้านั้นหนึ่งวันได้ให้น้องลูกขับรถกระบะไปรับเพ ื่อไปหาพระเกจิอาจารย์รูป คือ หลวงพ่อสุด วัดกาหลง ที่ จ.สมุทรสาครเพื่อไปขอพระจากหลวงปู่สุดเพราะของเดิมผู ้ที่รู้บางท่านบอกว่าถูกเพื่อนขโมยไป ทั้งตะกรุดและพระ แต่ไม่พบ ขณะที่เดินทางกลับ ได้ถูกเพื่อนร่วมเดินทางหักหลังยิงตี๋ใหญ่จนตาย แล้วรีบออกจากรถ หลังจากตำรวจมาถึงรถที่ตี๋ใหญ่ตายอยู่ในรถก็ได้ระดมย ิงถล่มรถอีกครั้งโดยไม่รู้ว่าตี๋ใหญ่ได้ตายอยู่ในรถก ่อนหน้านี้แล้ว
ภายหลังจากการเสียชีวิตแล้ว ยังมีเสียงเล่าลือกันว่า ตี๋ใหญ่แท้จริงยังไม่ตาย บ้างก็ลือกันว่าตี๋ใหญ่ได้หนีไปอยู่สหรัฐอเมริกา บ้างก็เชื่อว่าที่ตี๋ใหญ่เสียท่าแก่ตำรวจ เพราะได้หลบไปซ่อนอยู่ใต้ผ้าถุง อาคมในตัวจึงเสื่อม เป็นต้น เรื่องราวของตี๋ใหญ่ยังถูกเล่าขานต่อๆ กันมา
วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2554
ประเพณีการละเล่นผีตาโขน



"เทศกาลผีตาโขน"นี้ เป็นส่วนหนึ่งของ "งานบุญหลวง" ซึ่งถือเป็นงานบุญใหญ่ประจำปีของท้องถิ่น โดยรวมเอา "งานบุญพระเวส" ( ฮีตเดือนสี่ ) และ "งานบุญบั้งไฟ" (ฮีตเดือนหก) เข้าไว้ในงานบุญเดียวกัน
งานบุญพระเวส หรือที่ชาวอีสานเรียกว่า"บุญผะเวด" นั้น เป็นงานบุญที่จัดขึ้นเพื่อฟังเทศน์มหาชาติ ทั้ง 13 กัณฑ์ ซึ่งถือว่าจะได้อานิสงส์แรงกล้า บันดาลให้พบพระศรีอาริยเมตไตรยในชาติหน้า
ส่วนงานบุญบั้งไฟเป็นงานบุญที่จัดขึ้นเพื่อบูชาอารักษ์หลักเมืองและถือเป็นประเพณีการแห่ขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล
ในงานบุญหลวงนี้จะมีกองทัพ "ผีตาโขน" ออกวาดลวดลายทั่วเมืองด่านซ้าย ร่วมสร้างความสนุกสนานครื้นเครง
มีความเชื่อว่า "ผีตาโขน" น่าจะเกิดจาก พระเวสสันดรชาดก ตอนที่ว่า
พระเจ้ากรุงสัญชัย ได้เดินทางสู่เขาวงกต เพื่อกราบบังคมทูลเชิญ พระเวสสันดร และพระนางมัทรี ให้เสด็จออกจาป่าวงกตกลับมาครองราชสมบัติดังเดิม
พระเวสสันดรจึงทรงรับสั่งให้มีการจัดงานรื่นเริงให้กับชาวบ้านในบริเวณป่าวงกต และด้วยเมตตาธรรมอันยิ่งใหญ่ของพระเวสสันดร เหล่าสรรพสัตว์ และดวงวิญญาณต่าง ๆ ในละแวกนั้นพลอยได้รับผลบุญกันถ้วนหน้า
และในวันที่ พระเวสสันดรเสด็จนิวัติสู่นคร ดวงวิญญาณต่าง ๆ ก็พากันอาลัยรัก และตามมาส่งเสด็จ จนกลายเป็นคำว่า "ผีตามคน" และเพี้ยนเป็น "ผีตาโขน" ในทุกวันนี้
วันแรก พิธีเบิกอุปคุต
จากความเชื่อของชาวอีสานที่ว่า งานบุญใหญ่ใด ๆ มักจะมีมารมาคอยผจญ จึงต้องเชิญพระอุปคุตผู้มีฤิทธิ์มากมาช่วยปราบมาร ดังนั้นจึงต้องมี พิธีเบิกพระอุปคุต ก่อนงานบุญหลวงทุกครั้ง
โดยปกติพิธีเบิกพระอุปคุตนั้น จะเริ่มตอนใกล้เช้ามืดประมาณตี 3 หรือตี 4 ในการทำพีธีนั้นคณะของแสนทุกคนจะนำอุปกรณ์ที่เตรียมไว้ มีมีด ดาบ หอก ฉัตร ถือเดินนำขบวนจากวัดโพนชัยไปที่ริมฝั่งแม่น้ำหมัน เพื่อเชิญพระอุปคุต (คือก้อนกรวดสีขาว) ในแม่น้ำ
เล่าขานกันว่าเมื่อมีงานบุญใหญ่โตมักจะมีพวกมารผจญ จึงต้องเชิญพระอุปคุตมาเพื่อช่วยปราบมารให้ราบคาบ เมื่อได้พระอุปคุตแล้วจะนำใส่หาบ เคลื่อนขบวน กลับมาทำพิธีที่หออุปคุต วัดโพนชัยในตอนรุ่งเช้าจะมีขบวนแห่ไปบ้านเจ้าพ่อกวน เพื่อทำพิธี บายศรีสู่ขวัญให้แก่ เจ้าพ่อกวน และเจ้าแม่นางเทียม
เมื่อได้เวลาอันสมควรเจ้าพ่อกวน เจ้าแม่นางเทียม คณะแสน นางแต่งบรรดาผีตาโขนใหญ่ ผีตาโขนน้อยทั้งหลาย ตลอดจนขบวนเชิ้ง จะร่วมกันเคลื่อนขบวนแห่ไปยังวัดโพนชัย เวียนรอบพระอุโบสถ 3 รอบ ซึ่งจะมีผีตาโขนเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เที่ยวหลอกล้อผู้คนที่มาร่วมงานอย่างสนุกสนาน
วันที่สอง พิธีแห่พระเวส
จะเป็นวันที่สมมติว่า พระเวสสันดรเสด็จนิวัติสู่พระนคร โดยมีผีต่าง ๆ คอยตามขบวนแห่มาส่งเสด็จ
บรรดาผีตาโขนจะเริ่มเล่นกันตั้งแต่เช้า ส่วนใหญ่จะรวมเล่นกันอยู่ที่วัดโพนชัย วาดลวดลายเต้นตามจังหวะดนตรีที่สนุกสนานครื้นเครงจนถึงเวลาอันเชิญพระเวสสันดรและนางมัทรีเข้าเมือง ( แห่พระเวส ) เมื่อขบวนแห่ถึงวัดโพนชัย จะเดินเวียนรอบโบสถ์ 3 รอบ ในระหว่างเคลื่อนขบวนจะมีการโปรยกัลปพฤกษ์ ซึ่งก็คือเหรียญเงิน เหรียญทอง ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะแย่งกันเก็บเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวเองเป็นที่สนุกสนาน
หลังจากนั้นบรรดาผู้เล่าผีตาโขนจะนำชุดและอุปกรณ์ที่ใช้เล่นไปทิ้งลงแม่น้ำหมัน ถือเป็นการลอยเคราะห์ให้ไหลล่องไปกับแม่น้ำ ( แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเก็บไว้ใช้ประดับบ้านหรือเก็บไว้ใช้อีกในปีหน้า )
วันที่สาม เทศน์มหาชาติ
จะเป็นการฟังเทศน์มหาชาติตั้งแต่เช้ามืดเพื่อกล่อมเกลาจิตใจและได้อานิสงส์ผลบุญอันแรงกล้า เป็นอันเสร็จพิธี
การละเล่นผีตาโขน
ผีตาโขนแต่งกายด้วยชุดที่ทำจากเศษผ้านำมาเย็บติดกัน มี "หมากกะแหล่ง" (ลักษณะคล้ายกระดิ่ง ใช้แขวนคอกระบือ) หรือกระดิ่ง กระพรวน กระป๋องผูกติดกับบั้นเอว แขวนคอ หรือถือเคาะเขย่า เพื่อให้เกิดจังหวะและมีเสียงดังเวลาเดินแบบขย่มตัว ส่ายสะโพก โยกขา และขยับเอว ผีตาโขนทุกตัวจะมีอาวุธประจำกาย เป็นดาบ หรือง้าวซึ่งทำจากไม้เนื้ออ่อนโดยจะทำให้มีลักษณะคล้ายอวัยวะเพศชายและทาสีแดงตรงปลายเอาไว้หยอกล้อเพื่อให้เกิดความตื่นเต้น ขบขัน และสนุกสนานมิได้ถือเป็นเรื่องอุจาดลามกหรือหยาบคายแต่อย่างใด
ส่วนหน้าของหน้ากากผีตาโขนทำด้วยหวดนึ่งข้าวเหนียว นำมาหักพับขึ้นให้มีลักษณะคล้ายหมวก ส่วนหน้าทำจากโคนก้านมะพร้าว ถากเป็นรูปหน้ากาก แล้วเจาะช่องตา
สำหรับจมูกของผีตาโขนนั้น ในสมัยก่อนจะมีขนาดเล็กคล้ายจมูกของคนธรรมดาทั่วไป แต่ในปัจจุบันมักทำในลักษณะยาวแหลมคล้ายงวงช้าง โดยทำจากไม้นุ่นซึ่งเป็นไม้เนื้ออ่อน นำมาแกะเป็นรูปทรงต่างๆ
ส่วนเขาทำมาจากปลีมะพร้าวแห้ง นำมาตัดเป็นขนาดและรูปทรงตามที่ต้องการ การประกอบส่วนต่างๆ ของหน้ากากนั้น ส่วนหัว หน้า และเขา ก็จะใช้เชือกเย็บติดให้เข้าด้วยกัน
ส่วนจมูกจะยึดติดกับหน้ากาก โดยจะใช้ตะปูตียึดจากด้านใน การตกแต่งลวดลายต่างๆ ในปัจจุบันนิยมใช้สีน้ำมันในสมัยก่อนที่ยังไม่ใช้สีน้ำมัน จะใช้สีจากธรรมชาติ เช่น ขมิ้น ปูนขาว ขี้เถ้า ปูนแดง เขม่าไฟ เมื่อตกแต่งลวดลายเสร็จแล้ว ด้านหลังจะใช้เศษผ้าเย็บต่อจากหน้ากากและหวดให้คลุมส่วนคอจนถึงไหล่
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)